Theppitak's blog

My personal blog.

27 กันยายน 2555

Lao Script History

ผมได้เคยเขียนถึง ข้อมูลประวัติศาสตร์อักษรไทย-ลาว ไว้เมื่อต้นปี กล่าวถึงทฤษฎีของทางลาวที่ว่าอักษรลาวน่าจะเกิดก่อนอักษรไทย โดยอ้างถึงศิลาจารึกวัดวิชุลที่ยังเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ถึงอายุของจารึก และผมก็ได้กล่าวถึงทฤษฎีของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่เสนอว่าอักษรไทยน่าจะมีใช้มาก่อนพ่อขุนรามฯ โดยอ้างภาพสลักเรื่องชาดกที่วัดศรีชุม สุโขทัย ตอนนี้ได้เจอหนังสืออีกเล่มหนึ่งของมหาสีลา วีระวงส์ ซึ่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของอักษรลาวในยุคปัจจุบันที่ท่านได้เข้าไปมีส่วนร่วมปฏิวัติด้วย

พูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ยุคเก่าก่อน.. แต่ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอขยายความทฤษฎีของจิตร ภูมิศักดิ์ สักเล็กน้อย ที่ว่าอักษรไทยน่าจะมีใช้มาก่อนสมัยพ่อขุนรามฯ โดยจิตรได้อ้างถึงภาพสลักเรื่องชาดกบนแผ่นหินชนวนที่กรุบนเพดานอุโมงค์ในผนังมณฑปวัดศรีชุม สุโขทัย ซึ่งเป็นภาพลายเส้นแบบลังกาที่เผอิญมีตัวหนังสืออักษรไทยอยู่ด้วย

ภาพสลักที่วัดศรีชุม
ภาพสลักที่เพดานอุโมงค์วัดศรีชุม (ภาพจาก วิกิพีเดีย)

ตัวภาพนั้นเก่ากว่าวัด (วัดสร้างราว พ.ศ. ๑๘๓๘ ปลายสมัยพ่อขุนรามฯ แต่ภาพแบบลังกานั้น เก่ากว่า) จึงสันนิษฐานกันว่าเอาของเก่ามากรุเพดานขณะสร้างวัด แต่คำถามอยู่ที่ตัวหนังสือในภาพ ซึ่งมีการใช้สระบนบรรทัดแบบสมัยพญาลิไทย เดิมสันนิษฐานกันว่าเป็นการสลักลงไปในสมัยหลัง แต่จิตรตั้งคำถามว่า ด้วยเนื้อที่อุโมงค์ที่กว้างเพียง ๔๐ ซ.ม. และมืดทึบ จะสลักหนังสืออีท่าไหน? จะจุดไต้ตามไฟอย่างไร? หรือจะงัดออกมาสลักข้างนอกแล้วกรุเข้าไปใหม่ ก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้น อายุของจารึกจึงน่าจะเท่ากับอายุของภาพนั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นศิลปะแบบลังกา ก็จะต้องเก่ากว่าสมัยพ่อขุนรามฯ ขึ้นไป จึงเป็นที่มาของทฤษฎีว่าอักษรไทยมีมาก่อนสมัยพ่อขุนรามฯ และลายสือไทยแบบพ่อขุนรามฯ เป็นเพียงอักขรวิธีที่มีใช้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะกลับไปใช้แบบเดิมในสมัยพญาลิไทยเป็นอย่างช้า

จิตรยังได้ตั้งข้อสังเกตต่อไปอีกว่า พ่อขุนรามฯ มีการสังโยคตัวอักษรโดยเขียนชิดกัน อาจได้เค้ามาจากอักษรไทยน้อยที่มีการเชื่อม หน (ໜ) หม (ໝ) ซึ่งการสันนิษฐานเช่นนี้ ถือเป็นการชนกับนักประวัติศาสตร์สายหลักของไทยอย่างจัง เพราะเชื่อกันว่าอักษรไทยน้อยของลาวนั้น ได้รับอิทธิพลจากอักษรสุโขทัยสมัยพญาลิไทย และโดยอ้อมอีกทางหนึ่งผ่านอักษรฝักขามของล้านนา

...แต่กลับไปสอดคล้องกับทฤษฎีของฝั่งลาว...

มหาสิลา วีระวงส์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ ประวัติหนังสือลาว แปลเป็นไทยโดย สมหมาย เปรมจิตต์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงประวัติอักษรลาวว่า สันนิษฐานว่าลาว (ซึ่งในขณะนั้นหมายถึงไทยด้วย) น่าจะมีตัวหนังสือใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๖๗๐ เป็นอย่างช้า

ก่อน พ.ศ. ๔๐๐ ชนชาติลาว-ไทยได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางเสฉวนและยูนนานปัจจุบัน โดยมีการติดต่อกับอินเดียด้วย ในราว พ.ศ. ๖๑๓ ชาวเมืองงายลาวอันมีขุนหลวงลีเมาเป็นประมุข ได้รับเอาพุทธศาสนามหายานมานับถือ พร้อมด้วยคัมภีร์ภาษาสันสกฤต ชนชาติลาว-ไทยคงได้แบบอย่างตัวหนังสือมาจากอินเดียตั้งแต่คราวนั้น

(อ่านเรื่องราวของอาณาจักรหนองแสได้ใน blog เก่าเรื่อง เมืองแถน)

ในจดหมายเหตุของจีน ได้กล่าวถึงประเพณีชาวลาวเมืองหนองแสในแคว้นยูนนานระหว่าง พ.ศ. ๖๗๐ ไว้ตอนหนึ่งว่า:

เวลาน่านเจ้าอ๋องเสด็จออกว่าราชการ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก เมื่อข้าราชการเข้าไปเฝ้าทูลข้อราชการ ให้เขียนหนังสือบอกแทนพูดด้วยปาก...

ตรงนี้ มหาสิลาสันนิษฐานว่าเป็นตัวหนังสือที่ได้จากอินเดียเมื่อครั้งรับพุทธมหายาน และอาจเป็นอักษรเทวนาครี!

ตรงนี้คงมีช่องให้ตั้งคำถามได้มากมาย เช่น

  • น่านเจ้าประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ มารวมกัน หนองแสที่บันทึกจีนพูดถึงนี้หมายรวมถึงชนชาติไทย-ลาวด้วยหรือเปล่า? นักประวัติศาสตร์จีนยังตั้งข้อสงสัยว่าน่านเจ้าไม่ใช่ไทย เพราะมีประเพณีหลายอย่างต่างจากไทย แม้ตำนานชนชาติไทย-ลาวจะยืนยันว่าไทย-ลาวร่วมก่อตั้งน่านเจ้ากับชนเผ่าอื่นในยุคแรก ก่อนจะถูกชนชาติไป๋เข้ายึดครอง ตั้งอาณาจักรต้าหลี่ ขับไล่ชนชาติไทย-ลาวต้องถอยร่นลงมา
  • อักษรที่ว่านั้นอาจไม่ใช่อักษรเทวนาครี หรืออักษรจากอินเดียก็เป็นได้ อยู่ใกล้จีนขนาดนั้น จะไม่ได้รับอิทธิพลจากจีนเชียวหรือ?

อย่างไรก็ดี มหาสิลาได้ตั้งข้อสังเกตต่อไป ว่าอักษรลาวมีรูปร่างคล้ายอักษรปัลลวะ โดยในจารึกเก่า (อ้างถึงจารึกสมัยสมเด็จพระไชยเชฏฐาธิราชเป็นต้นมา) มีการใช้คำสันสกฤตด้วยพยัญชนะสันสกฤตในคำต่างๆ จึงยิ่งแน่ใจว่าอักษรลาวได้เค้ามาจากอักษรสันสกฤตแน่นอน ซึ่งในแง่ของการยืนยันว่าอักษรลาวเคยมีอักษรสันสกฤตใช้นั้น ถือว่าเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักเหมาะสม แต่หากจะใช้ยืนยันว่าอักษรลาวมีเค้ามาจากอักษรสันสกฤตโดยตรงนั้น ออกจะผิดไปหน่อย

เท่าที่อ่านดู ผมเข้าใจว่ามหาสิลาอาจสับสนระหว่างอักษรพราหมีของอินเดียเหนือในสมัยพระเจ้าอโศก กับอักษรปัลลวะหรืออักษรคฤนถ์ของอินเดียใต้ เพราะท่านไปเปรียบรูปร่างอักษรปัลลวะซึ่งเป็นที่มาของอักษรธรรมสำหรับเขียนบาลี แล้วก็บอกว่าอักษรลาวมีเค้าจากอักษรสันสกฤตของพระเจ้าอโศก (พระเจ้าอโศกอยู่ในราชวงศ์โมริยะ ไม่ใช่ราชวงศ์ปัลลวะ) ในขณะที่เนื้อหาถัดมา ท่านพูดถึงอักษรคฤนถ์ว่าเป็นต้นเค้าของอักษรธรรม โดยแยกชื่ออักษรปัลลวะกับอักษรคฤนถ์ออกจากกัน

เมื่อเทียบอย่างผิดฝาผิดตัวอย่างนี้ การกล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานที่อักษรลาวมาจากอักษรอินเดียโดยตรงก็คงตกไป โดยเฉพาะถ้าอ้างอักษรปัลลวะแล้ว ยิ่งเข้าทางข้อมูลฝั่งไทย ซึ่งสืบประวัติย้อนไปถึงอักษรปัลลวะได้ คงนับได้เพียงจารึกของจีนเท่านั้น ซึ่งถือว่าหลักฐานยังอ่อน

อย่างไรก็ดี แนวคิดของมหาสิลาก็คงมีอิทธิพลต่อความเชื่อของนักประวัติศาสตร์ลาวในยุคต่อ ๆ มา จนกระทั่งมีการพบจารึกวัดวิชุลเป็นหลักฐาน ซึ่งก็ยังหาข้อยุติไม่ได้

แต่ก็น่าสนใจที่จิตรเองก็คิดแบบเดียวกันด้วย อาจจะเชื่อถือได้ว่าอักษรไทยมีมาก่อนพ่อขุนรามฯ แต่เรื่องที่จิตรสันนิษฐานว่าพ่อขุนรามฯ อาจได้แรงบันดาลใจบางส่วนจากอักษรไทยน้อยของลาวนั้น ก็อาจสันนิษฐานได้ แต่หลักฐานก็ต้องค้นหากันต่อไป

ประวัติอักษรลาวในยุคปัจจุบัน

ส่วนที่น่าสนใจในหนังสือของมหาสิลาอยู่ที่ส่วนหลัง ว่าด้วยประวัติอักษรลาวปัจจุบัน ซึ่งท่านได้เข้าไปมีส่วนร่วมในบางขั้นตอนของการปฏิวัติด้วย

มหาสิลาบอกว่า อักษรลาวเริ่มเสื่อมโทรมลงตั้งแต่ลาวเสียเอกราชให้สยาม เจ้าอนุวงศ์ถูกจับ สำนักต่าง ๆ แยกกันสอนของใครของมัน ไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดครอง วัฒนธรรมลาวฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาแม่น้ำโขงถูกแยกออกจากกัน ทางฝั่งขวาถูกการศึกษาจากส่วนกลางของสยามบังคับให้เรียนอักษรไทย เลิกใช้อักษรไทยน้อยและอักษรธรรม ส่วนทางฝั่งซ้ายก็ไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้ปกครองอย่างฝรั่งเศส

เดิมนั้นประเทศแถบนี้มีการใช้อักษรสองชุดแยกกันระหว่างเรื่องทางโลกกับทางธรรม กล่าวคือ ที่สยามมีอักษรไทยกับอักษรขอม ที่เขมรมีอักษรเจรียงกับอักษรขอม ที่ลาวมีอักษรลาวกับอักษรธรรม ต่อมาในสยาม กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระสังฆราช ได้ทรงริเริ่มการใช้อักษรไทยเขียนภาษาบาลี และประกาศยกเลิกการใช้อักษรขอม

ลาวอยู่ในสภาพขาดเอกภาพทางอักษรมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๒ สมาคมนักปราชญ์ของฝรั่งเศสจึงได้เริ่มฟื้นฟูพุทธศาสนาในลาว ตั้งโรงเรียนบาลี และตั้ง พุทธบัณฑิตสภาจันทบุรี เพื่อจัดการการศึกษาในลาว โดยมีญาพ่อมหาแก้วเป็นครู มีเจ้าเพชราชเป็นประธาน ซึ่งญาพ่อมหาแก้วนี้เคยได้ศึกษาธรรมจากสยาม จึงใช้แบบเรียนไทยเป็นต้นแบบ ให้นักเรียนเขียนถ่ายเป็นอักษรธรรมได้วันละ ๔-๕ แถว ซึ่งชักช้าเสียเวลา เมื่อมหาสิลาเข้าไปแทนท่านในปี ๒๔๗๔-๒๔๗๕ จึงได้เสนอต่อเจ้าเพชราชให้จัดพิมพ์แบบเรียนบาลีด้วยอักษรลาวแทนอักษรธรรม โดยต้องปรับปรุงสังคายนาอักษรลาวเสียก่อน โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมา มีเจ้าเพชราชเป็นองค์ประธาน

คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นนี้ (มีมหาสิลาร่วมด้วย) มีมติแยกออกเป็น ๓ มติ คือ

  1. เลิกใช้อักษรลาว ใช้อักษรโรมันแทน เหมือนที่เวียดนามทำ ส่วนใหญ่มาจากผู้ที่ได้เรียนภาษาฝรั่งเศสมาก
  2. ใช้จุด (เข้าใจว่าหมายถึงพินทุ) กำกับอักษรลาวเพื่อแทนอักษรบาลี-สันสกฤตที่ขาด
  3. เพิ่มอักษรที่ขาด เนื่องจากพบหลักฐานในศิลาจารึกว่าเคยมีอักษรบาลี-สันสกฤตใช้

ที่ประชุมเลือกเอามติที่สามนี้ โดยพยายามใช้อักษรที่โบราณเคยใช้ถ้าพบ แต่ถ้าไม่พบก็ดัดแปลงเอาจากอักษรธรรม ผลที่ได้คืออักษรลาวที่มีพยัญชนะทั้งหมด ๓๓ ตัว

ดูตัวอย่างอักษรลาวที่ใช้เขียนบาลี-สันสกฤตได้จาก blog นี้ ที่ภาพสุดท้าย และดูการแจกแจงพยัญชนะวรรคได้ที่ blog นี้ ที่ภาพท้าย blog

อักษรลาวที่ใช้เขียนภาษาบาลี
อักษรลาวที่ใช้เขียนภาษาบาลี (ภาพจาก saixelamphao.livejournal.com)

แต่อักษรแบบนี้ก็มีใช้อยู่ไม่เกิน ๒๐ ปี ก็ถูกยกเลิก โดยใน พ.ศ. ๒๔๙๑ มีการตั้ง คณะกรรมการอักษรศาสตร์ลาว ซึ่งได้ออกพระราชโองการเลขที่ ๑๐ บัญญัติว่าพยัญชนะลาวมีเพียง ๒๗ ตัวเท่านั้น โดยเท่ากับพยัญชนะลาวแบบเดิม ๒๖ ตัว บวกตัว ร อีกหนึ่ง และให้เขียนภาษาลาวตามเสียงพูด ไม่ว่าคำนั้น ๆ จะมาจากภาษาใดก็ตาม

ในหน้าคำนำ มหาสิลาบอกว่าก่อนหน้านั้นมีมติแตกออกเป็นสอง คือ:

  1. เขียนตามเสียงอ่าน ซึ่งมตินี้แยกเป็นสองมติย่อย
    1. เขียนตามเสียง แต่ยังอนุญาตให้ใช้ตัวสะกดพิเศษในคำบาลี-สันสกฤตได้ ซึ่งเป็นหลักการของราชบัณฑิตสภา
    2. เขียนตามเสียงแท้ ไม่มีการอนุโลมตัวสะกด และไม่ยอมมีตัว ร (เช่น ราชา เขียน ลาซา) ไม่ยอมมีอักษรนำ (เช่น ปโยด หรือ ปโยชน์ เขียน ปะโหยด) แนวคิดนี้มาจากคณะแนวลาว ฮักซาด
  2. เขียนตามรากคำบาลี-สันสกฤต เป็นมติของพวกที่ได้บวชเรียน มีความรู้ทางพุทธศาสนา

ผลของพระราชโองการเลขที่ ๑๐ นี้ ทำให้ในวัดหันไปใช้ตำราไทยแทน เพราะเขียนภาษาบาลีได้ดีกว่า ความรู้ทางภาษาจึงหันเหเข้าหาภาษาไทย รับภาษาไทยมาใช้ปะปนกับภาษาลาว เรื่องนี้ลามไปถึงหนังสืออ่านเล่น นวนิยาย สารคดี หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ก็เป็นหนังสือไทยหมด (บรรยายถึงสภาพการณ์ในปี ๒๕๑๖ ซึ่งปัจจุบันคงต่างไปแล้ว) ส่งผลกระทบต่อภาษาลาวอย่างมาก

ความเห็นของมหาสิลานั้น เห็นว่าควรใช้อักษรลาวเขียนบาลี-สันสกฤตให้ถูกต้อง และไม่จำเป็นต้องใช้อักษรธรรม เพราะ:

  • อักษรธรรมหล่อตัวพิมพ์ยาก
  • คนทั่วไปอ่านไม่ออก แม้ในฝั่งไทยอีสาน ก็หาคนอ่านอักษรธรรมออกแทบไม่ได้แล้ว
  • อักษรลาวก็ใช้บันทึกได้เหมือนกัน
  • ประเทศข้างเคียงก็ใช้อักษรเดียวกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไทย เขมร พม่า ลังกา
  • การใช้อักษรเดียว ทำให้การเข้าถึงความรู้ของคนทัดเทียมกันทั้งทางโลกและทางธรรม
  • ชนชาติเดียวกันไม่ควรแบ่งแยกอักษรที่ใช้

ก็เป็นความเห็นที่น่าฟัง และทำให้เข้าใจความเป็นมาของอักษรลาว ก่อนที่จะมาเป็นระบบการเขียนตามเสียงอ่านในปัจจุบัน ถึงแม้การพยายามศึกษาและ implement อักษรธรรมของผมจะสวนทางกับความคิดของท่านก็ตาม :-)

ป้ายกำกับ: , ,

12 กุมภาพันธ์ 2555

Thai and Lao script history

ช่วงนี้ก่อนนอนจะทยอยอ่านหนังสือ ความเป็นมาของชนชาติลาว เขียนโดย บุนมี เทบสีเมือง นักวิชาการ สปป. ลาว แปลเป็นไทยโดย ไผท ภูธา เป็นมุมมองประวัติศาสตร์ของลาวที่น่าสนใจ

ประวัติศาสตร์ลาวตามแบบฉบับนั้น เขานับเนื่องมาตั้งแต่อ้ายลาว มาน่านเจ้า ก่อนจะถูกคนเชื้อสายจีน (เข้าใจว่าหมายถึงชนชาติไป๋) ยึดอำนาจ ตั้งเป็นอาณาจักรต้าหลี่ ทำให้คนลาว (ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับที่ไทยเรียกว่าไท หรือ ไทย) ทางใต้โดยรอบประกาศตัวเป็นอิสระ เกิดเป็นอาณาจักรต่าง ๆ

หนังสือเล่มนี้เสนอทฤษฎีว่าชนชาติไทย-ลาวมีแหล่งกำเนิดที่เทือกเขาภูเลยในเขตประเทศลาวปัจจุบัน แล้วจึงมีการเคลื่อนย้ายออกไปทุกทิศทาง ทั้งลงมาลุ่มเจ้าพระยาตลอดจนแหลมมลายู และขึ้นเหนือไปทางจีนตอนใต้ ไปก่อตั้งนครลุง ปา เงี้ยว จนถึงอาณาจักรอ้ายลาว น่านเจ้า แล้วพวกที่ขึ้นเหนือจึงถอยร่นลงใต้มาอีกภายหลัง โดยในระหว่างนั้นที่บริเวณประเทศลาวปัจจุบันมีการตั้งอาณาจักรโคตรบูรหรือที่จีนเรียกว่า ฟูเลียว ร่วมสมัยกัน ซึ่งถ้าว่าตามทฤษฎีนี้ คนไทย-ลาวถือเป็นชนชาติที่เก่าแก่กว่าขอมและมอญซึ่งเพิ่งอพยพมาจากอินเดียในช่วงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

แนวคิดเช่นนี้เป็นพื้นฐานของทฤษฎีว่าอักษรลาวเกิดขึ้นที่ลาวก่อน ไม่ใช่รับมาจากสุโขทัย โดยได้อ้างหลักฐาน ศิลาจารึกวัดวิชุน หลวงพระบาง ซึ่งระบุศักราช จ.ศ. ๕๓๒ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๗๑๓ ก่อนศิลาจารึกพ่อขุนรามถึง ๑๑๓ ปี และยังมีหลักฐานศิลาจารึกที่ระเบียงคต พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ ที่กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าอาจจะสร้างใน จ.ศ. ๓๔๑ (พ.ศ. ๑๕๒๒) ซึ่งถ้าถูกต้องก็จะมีอายุถึงกว่า ๑ พันปี!


จารึกวัดวิชุน

เรื่องนี้ทำให้กลับไปคิดต่อ หลังจากที่ผมเคยเขียนถึง ทฤษฎีต้นกำเนิดอักษรไทย ที่ว่าอักษรไทยไม่ได้เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหง แต่ควรจะมีใช้ก่อนหน้านั้นนานแล้ว โดยในหนังสือของ อ. สุจิตต์ วงษ์เทศ นั้นระบุว่ามีอักษรไทยใช้ในรัฐอโยธยา-ละโว้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๗๘ เป็นอย่างช้า จากหลักฐานกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ (ตอนท้าย) และโองการแช่งน้ำ

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดประเด็นมาก่อนหน้านี้โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ในบทความ อักษรไทยก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่ได้รวบรวมไว้ใน ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย ว่ามีจารึกในอุโมงค์วัดศรีชุมเป็นอย่างน้อยที่น่าจะสลักอักษรไทยไว้ก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยอักขรวิธีเป็นแบบเดียวกับสมัยพญาลิไทย คือมีการเขียนสระไว้ข้างบน-ข้างล่างพยัญชนะ โดยพ่อขุนรามคำแหงอาจจะพยายามปฏิรูปการเขียนให้สระเข้ามาอยู่ในบรรทัด แล้วปรากฏว่าไม่ฮิต พอสิ้นท่านแล้วจึงกลับไปใช้อักขรวิธีแบบเดิม (คล้าย ๆ กับที่ในหลวง ร.๔ เคยทรงประดิษฐ์ อักษรอริยกะ, ในหลวง ร.๖ เคยทรงเสนอ อักขรวิธีแบบใหม่ หรือจะเป็นตัวสะกดสมัยจอมพล ป. ก็ตาม ล้วนไม่เป็นที่นิยมทั้งสิ้น)

เมื่อเปรียบเทียบตัวเขียนในจารึกวัดศรีชุมกับจารึกวันวิชุนแล้ว ดูคล้ายกันมาก ถ้าเชื่อตามจิตรแล้วตัดลายสือไทยพ่อขุนรามฯ ที่เป็นสิ่งชั่วคราวออก ประวัติศาสตร์อักษรไทย-ลาวก็จะดูคลี่คลายลงมากในเรื่องลำดับปีและวิวัฒนาการ

อย่างไรก็ดี ข้อโต้แย้งเรื่องอายุของจารึกวัดวิชุน ก็ยังเป็นคำถามที่ต้องตอบ ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตเรื่องการใช้จุลศักราช ซึ่งท่านบุนมีตอบไว้เพียงว่า ไม่ใช่มหาศักราชแน่นอน เพราะอิทธิพลขอมยังแผ่มาไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้เคลียร์ว่าทำไมต้องเป็นจุลศักราชตามพม่า ส่วนเรื่องการใช้ไม้หันอากาศนั้น ถ้าวินิจฉัยตามจิตรก็จะตอบได้ว่า จารึกวัดศรีชุมที่เก่ากว่าจารึกพ่อขุนรามฯ ก็มีไม้หันอากาศใช้แล้ว การใช้ตัวสะกดสองตัวซ้อนกัน เช่น อัน = อนน เป็นเพียงประดิษฐกรรมของพ่อขุนรามฯ เพื่อให้เขียนได้ในบรรทัดเท่านั้น

หากจะสรุปประเด็นที่ยังเปิดอยู่เกี่ยวกับจารึกวัดวิชุน ก็คงแยกเป็นสองเรื่องหลัก:

  1. อายุที่แท้จริงของจารึกวัดวิชุนเอง ยังต้องอธิบายให้แน่นหนายิ่งขึ้น ปีที่กล่าวถึงในจารึก เป็น จ.ศ. จริงหรือ? และถ้าจริง จำเป็นไหมว่าต้องเป็นปีที่จารึก ไม่ใช่การเขียนบันทึกเรื่องเก่า?
  2. ถึงแม้จารึกวัดวิชุนจะเก่ากว่าจารึกพ่อขุนรามฯ ก็ยังไม่ใช่ข้อสรุปว่าอักษรลาวเกิดก่อนอยู่ดี เพราะอักษรไทยก็มีใช้มาก่อนสมัยพ่อขุนรามฯ นานแล้วเหมือนกัน

ประเด็นข้างเคียงที่อาจต้องตรวจสอบต่อ คืออักษรอื่น ๆ ในภาษาตระกูลไท-ลาว เช่น อักษรถั่วงอกของไทมาว, อักษรไทอาหม, อักษรไทดำ ซึ่งมีอักขรวิธีคล้ายอักษรไทย-ลาวนั้น ได้รับอิทธิพลจากไหน ใครเกิดก่อนใคร

ป้ายกำกับ: ,

11 พฤษภาคม 2553

The Edge of the Empire (คนไททิ้งแผ่นดิน)

ไม่ได้ blog เรื่องหนังสือไปเสียนาน อันที่จริงก็มีเรื่องสะสมไว้พอควร แต่หาเวลานั่งลงเรียบเรียงความคิดยากจริง

คนไททิ้งแผ่นดิน ภาพยนตร์ที่สร้างจากมหากาพย์ชื่อเดียวกันที่ได้รับรางวัลเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน หรือที่แปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ The Edge of the Empire เป็นเรื่องของการต่อสู้ของชนชาติไทตั้งแต่สมัยอยู่ในแผ่นดินจีนตอนใต้ เพื่อปลดแอกจากอำนาจของจิ๋น ซึ่งประสบความสำเร็จในช่วงแรก ก่อนที่จะโดนจิ๋นตลบหลัง หลังจากคนไทยแตกคอรบกันเองจนอ่อนกำลังลง จนพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และต้องทิ้งแผ่นดินมุ่งลงใต้เพื่อหาแผ่นดินใหม่สำหรับตั้งหลักแหล่ง

เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เอาไว้ทีหลัง เพราะเรื่องนี้ชัดเจนว่าเป็นนิยายปลอมพงศาวดารในทำนองเดียวกับผู้ชนะสิบทิศของยาขอบ คืออาศัยข้อมูลทางประวัติศาสตร์เป็นเค้าโครงเท่านั้น ที่เหลือเป็นตัวละครสมมุติทั้งสิ้น แต่คุณค่าของเรื่องนี้อยู่ที่การสอดแทรกแง่คิดเกี่ยวกับการปกครอง การรวมตัวกันเพื่อประโยชน์ในการต้านทานการรุกรานจากภายนอก และเกร็ดคุณธรรมอื่น ๆ

นิยายเรื่องนี้แบ่งเป็นสองภาค ภาคแรกคือ คนไททิ้งแผ่นดิน เป็นเรื่องราวการถูกกดขี่จากจีน และความพยายามทำสงครามปลดแอก จนกระทั่งแตกพ่าย ส่วนภาคสองคือ สู่แผ่นดินใหม่ เป็นเรื่องของการอพยพลงใต้เพื่อหาแผ่นดินใหม่ โดยในระหว่างทางมีคนไทแยกสายกันไปหาหลักแหล่งในที่ต่าง ๆ

เค้าโครงของเรื่อง อาศัยทฤษฎีหนึ่งในหลาย ๆ ทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของคนไท ซึ่งปัจจุบันมีอย่างน้อย 4 ทฤษฎี คือ:

  1. คนไทมาจากภูเขาอัลไต แล้วอพยพลงมาที่ลุ่มน้ำฮวงโห ก่อนจะถูกจีนที่อพยพมาจากทางทะเลสาบแคสเปียนรุกล้ำให้ลงมาที่ลุ่มน้ำแยงซีเกียง จากนั้นก็ถูกจีนรุกรานเรื่อยมาจนกระจัดกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ตั้งแต่จีนตอนใต้จรดแหลมมลายู ทฤษฎีนี้เสนอโดย William Clifton Dodd (หมอดอดด์) และเผยแพร่ให้กว้างขวางขึ้นโดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ปัจจุบันทฤษฎีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงความเป็นไปได้
  2. คนไทมาจากจีนตอนใต้ โดยแบ่งเป็นสองทฤษฎีย่อย คือมีถิ่นกำเนิดที่เสฉวน กับอีกแนวคิดหนึ่งคืออยู่กระจายกันตั้งแต่กวางตุ้งเรื่อยไปถึงกวางสี ยูนนาน กุ้ยโจว เสฉวน แล้วจึงอพยพลงใต้ ทฤษฎีนี้เริ่มเสนอโดย Terrien de Lacouperie และกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอ้างอิงต่อมา
  3. คนไทอยู่ที่บริเวณประเทศไทยมาแต่แรก ไม่ได้อพยพมาจากที่ไหน โดยอาศัยหลักฐานโบราณคดีที่พบในท้องที่ พบความเชื่อมโยงกับคนไทยปัจจุบัน นพ. สุด แสงวิเชียร เสนอว่า ลักษณะเม็ดเลือดที่ผิดปกติของคนไทยทำให้ลักษณะของกระดูกกรามผิดรูป ซึ่งตรงกับโครงกระดูกที่ขุดพบในประเทศ และอีกผู้หนึ่งที่เสนอทฤษฎีนี้คือ สุจิตต์ วงษ์เทศ โดยวิเคราะห์ความหมายของคำว่า ไท เสียใหม่ในฐานะคำสามัญไม่ใช่ชื่อเฉพาะ และแยกประเด็นเรื่องภาษาพูดกับชาติพันธุ์ออกจากกัน เพื่ออธิบายว่าคนที่พูดภาษาไทที่พบในจีนนั้นไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์เดียวกับไทในสยาม
  4. คนไทมาจากทางใต้ คือมาจากทางเกาะชวา แถบเส้นศูนย์สูตร แล้วอพยพขึ้นเหนือ โดย นพ. สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ ให้ข้อสังเกตว่ากลุ่มเลือดของคนไทยคล้ายกับคนอินโดนีเซียมากกว่าคนจีน และนักมานุษยวิทยา Ruth Benedict ได้พบความคล้ายคลึงกันของภาษาของคนถิ่นต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทฤษฎีนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันเรื่องความหละหลวมของสมมุติฐาน

นิยาย คนไททิ้งแผ่นดิน นี้ อ้างอิงทฤษฎีที่ 2 ว่าคนไทมีถิ่นกำเนิดแถบจีนตอนใต้ โดยมาย้ำในภาคสอง ที่เฟเสียนเล่าถึงนางบัวคำที่หลังจากตายแล้ววิญญาณได้มาบอกให้ไปสำรวจที่ต้นแม่น้ำโขงอันเป็นถิ่นกำเนิดของชนชาติไท

และจากเค้าของประวัติศาสตร์ประกอบทฤษฎีที่ 2 ที่ว่าคนไทอยู่ในบรรดากลุ่มชนชาติที่จีนเรียกว่าพวกอวดร้อยเผ่า หรือ ไป่เยว่ ซึ่งมีลักษณะการปกครองแบบแยกเป็นชนเผ่าเล็ก ๆ ไม่ได้รวมตัวกัน ผู้ประพันธ์จึงได้วาดภาพการปกครองของไทเผ่าต่าง ๆ ในเวลานั้นคล้ายกับกรีกโบราณหรืออินเดียโบราณ ที่แต่ละแคว้นปกครองเป็นอิสระจากกัน มีระบอบการปกครองที่ต่างกัน โดยแคว้นเชียงแสซึ่งเป็นแคว้นสำคัญแคว้นหนึ่งของเรื่อง มีการปกครองแบบประชาธิปไตย และได้เป็นแบบอย่างให้แคว้นลือหลังจากรวมกันแล้วด้วย ส่วนแคว้นอื่น ๆ ปกครองแบบราชาธิปไตย

อย่างไรก็ดี ผู้ประพันธ์ได้สอดแทรกปรัชญาการปกครองแบบเต๋าและขงจื๊อไว้ตลอดเรื่อง ผ่านตัวละครฝ่ายธรรมะของทั้งฝ่ายไทและฝ่ายจิ๋น โดยมีตัวละครฝ่ายอธรรมที่ตัดกันไว้เปรียบเทียบ เช่น ฝ่ายจิ๋นมีลกซุนและเตียวเหลียงเป็นตัวแทนปรัชญาเต๋าและขงจื๊อที่เฟื่องฟูในยุคชุนชิว-จั้นกว๋อ และมีลิตงเจียกับลิบุ๋นและคนส่วนใหญ่ในราชสำนักเป็นตัวแทนฝ่ายจักรวรรดินิยมที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ฝ่ายไทเองก็มีบุญปันกับกุมภวาเป็นตัวแทนการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย และประสบความสำเร็จตามครรลองของเต๋า (เป็นเจ้าเมืองที่มีเวลาว่างมากกว่าเพื่อน) มีขุนสินเป็นตัวแทนราชาธิปไตยแบบอิงคุณธรรมขงจื๊อ (ธรรมราชา) แล้วก็มีขุนจาด คำอ้าย และขุนสาย เป็นตัวแทนของฝ่ายอำนาจนิยม ซึ่งผมคิดว่าการสอดแทรกแนวคิดของการปกครองแบบต่าง ๆ นี่แหละ ที่เป็นคุณค่าที่สำคัญอย่างหนึ่งของนิยายเรื่องนี้

นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์ก็ได้กระแนะกระแหนคนไทอยู่ตลอดในเรื่องนิสัยชอบตีกันเอง คือจะรวมตัวกันได้ก็ต่อเมื่อมีภัยจากภายนอกมาคุกคามเท่านั้น แต่ในยามสงบ นิสัยรักอิสระก็จะทำให้คนไทไม่ยอมรวมตัวกัน และยังวิวาทกันเองอยู่ตลอด จนกระทั่งเสียทีให้กับจิ๋นในที่สุด แม้จะเคยรวมกำลังกันปลดแอกจิ๋นได้สำเร็จแล้วก็ตาม

สิ่งที่มหากาพย์เรื่องนี้รับใช้ ก็คือการปลุกเร้าความสามัคคีและความหวงแหนแผ่นดินของคนไทย เพราะ “จากแผ่นดินใหม่นี้ คนไทจะถอยไปไม่ได้อีกแล้ว” และยังปลุกความเป็นพี่น้องกันระหว่างไทเผ่าต่าง ๆ ที่ได้แยกย้ายกันไปอีกด้วย ซึ่งก็เป็นธรรมดา เพราะนี่คือมหากาพย์แห่งชนชาติไทนี่นา

ป้ายกำกับ: , , ,

22 กุมภาพันธ์ 2552

Pegu

เมื่อปีกลาย ผมได้ blog ไว้เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์พม่าที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องผู้ชนะสิบทิศ โดยค้างเติ่งไว้แต่ตอนแรก สรุปถึงเรื่องราวเพียงคร่าว ๆ ของศูนย์อำนาจต่าง ๆ ของดินแดนพม่า และการเปลี่ยนแปลงในยุคนั้น ส่วนตอนที่สองนั้น เขียนค้างไว้ยังไม่เสร็จ แต่แล้วก็สูญหายไปกับฮาร์ดดิสก์ที่พังไป ทีแรกว่าจะเลิกเขียนไปเลย แต่ก็ไปเจอ blog ของคุณ angeduriz เกี่ยวกับ ตะเลง มอญ รามัญ แล้วก็ รายงานของเธอ เกี่ยวกับเรื่องประวัติของมอญในยุคเริ่มต้น (เป็นภาษาฝรั่งเศส ถ้าคนไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสอย่างผมจะพยายามอ่าน ก็คงอ่านจาก google translator) ทำให้เกิดสนใจอยากหยิบมาเขียนใหม่ รายละเอียดคงไม่มากเท่าฉบับร่างเดิมที่เขียนตอนที่ยังสดใหม่อยู่ แต่ก็อาศัยโน้ตย่อที่จดไว้ในกระดาษมาเป็นโครงได้

รายงานของคุณ angeduriz นั้น เกี่ยวกับเรื่องของมอญในยุคเริ่มแรก และตอนที่สองที่ผมร่างไว้ ก็เริ่มจากเรื่องของหงสาวดีของมอญก่อนพอดี แต่จะเป็นยุคปลายคริสตศตวรรษที่ 13 ซึ่งก็คงไม่ซ้ำซ้อนอะไรกัน แต่เพื่อความต่อเนื่อง ก็ขอเท้าความสักนิด เกี่ยวกับมอญในยุคแรก ๆ

มอญถือเป็นชนชาติแรก ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในดินแดนสุวรรณภูมิ ในชื่อของอาณาจักรสุธรรมวดี หรือ สะเทิม (Thaton) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่หงสาวดี (Hanthawaddy) หรือพะโค (Pegu หรือ Bago) มอญเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทในดินแดนสุวรรณภูมิมาตั้งแต่แรก โดยไม่มีการผ่านวัฒนธรรมฮินดูและพุทธมหายานเหมือนชนชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคเลย จวบจนปัจจุบัน ต่อมา เมื่อชนชาติพม่าเริ่มเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ และตั้งอาณาจักรพุกาม (Pagan) แทนที่อาณาจักรศรีเกษตรหรือพยู (Pyu) ในแถบพม่าตอนเหนือ พระเจ้าอนิรุทธ์ หรือ อโนรธา (Anawrahta) แห่งพุกามได้ยกลงมาตีสะเทิมแตก และมอญก็ตกอยู่ใต้อำนาจของพุกาม จนกระทั่งพุกามถูกมองโกลรุกรานบ้าง ทำให้อำนาจของพุกามเรื่อมเสื่อมสลาย มอญจึงเริ่มแยกตัวเป็นอิสระได้ โดยเป็นจุดตั้งต้นของราชวงศ์มะกะโท อันเป็นยุคที่เกิดเรื่องราวของเรื่องราชาธิราช จนกระทั่งถูกชนชาติพม่าปราบลงอีกครั้งในเรื่องผู้ชนะสิบทิศนี่เอง

อ่านเพิ่มเติมเรื่องของหงสาวดียุคต้นได้จากบทความ มอญ: ชนชาติบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ ที่เว็บ MonStudies.com ซึ่งคัดลอกมาจากเว็บบ้านจอมยุทธอีกที (ต้นฉบับไม่อยู่แล้ว)

ฉะนั้น ข้อมูลประกอบของฝ่ายมอญสำหรับวรรณกรรมทั้งสอง จึงเริ่มจากเรื่องของพระเจ้าฟ้ารั่ว (Wareru) หรือมะกะโทนี่เอง และไปสิ้นสุดที่สมัยของพระเจ้าสการะวุตพี (Takayutpi) ซึ่งถูกพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ (Tabinshweti) ปราบในเรื่องผู้ชนะสิบทิศ

ในเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ตอนประชิดกำแพงหงสาวดี ซึ่งบุเรงนองพารานองอุปราชแปรไปตรวจดูกำแพงเมืองหงสาวดี เพื่อวางแผนทำลายกำแพงนั้น บุเรงนองถามรานองถึงความเก่าแก่ของกำแพงเมืองหงสาวดี และส่วนหนึ่งของคำตอบของรานองก็คือ:

...แลหงสาวดีนั้นมีกษัตริย์ทรงตบะสืบเนื่องต่อกันไม่ขาดสาย นับแต่มะกะโทมีอำนาจเป็นพระเจ้าอยู่หัวตั้งวงศ์ ณ เมืองเมาะตะมะ ลำดับลงมาหกชั่วถึงพินยาอูเล่า ก็ยกแต่เมาะตะมะมาตั้งหงสาวดีเป็นเมืองหลวง ครั้นพินยาอูสิ้นแล้วมังสุระมณีจักรราชบุตรมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าบรรดากษัตริย์อื่น ยินครูผู้รู้เล่าว่าหงสาวดีนี้ก็สถาปนากำแพงหอรบสรรพ สมลักษณะหัวเมืองเอกมาครั้งนั้น นับแต่มังสุระมณีจักรลงมาถึงสการะวุตพีอันดับนี้ก็เก้าชั่วกษัตริย์...

ตรงนี้เป็นการอ้างประวัติศาสตร์โดยย่อของเมืองหงสาวดีตลอดราชวงศ์มะกะโทภายในย่อหน้าเดียว โดยอ้างถึงเรื่องของพระเจ้าราชาธิราชมังสุระมณีจักรนิดหน่อย ซึ่งสามารถขยายความได้ดังนี้

พระเจ้าฟ้ารั่ว (Wareru) หรือ มะกะโท ในเรื่องราชาธิราชระบุว่า เดิมเป็นพ่อค้าชาวเมาะตะมะ (Martaban) ได้ไปทำการค้าถึงสุโขทัยและได้ทำราชการกับพระร่วงเจ้าเป็นนายกองเลี้ยงช้าง ต่อมาได้พาพระธิดาพระร่วงหนีกลับมาเมาะตะมะ และวางแผนกำจัด "อลิมามาง" (Aleimma) พม่าผู้ครองเมืองเมาะตะมะในขณะนั้น แล้วตั้งตนเป็นอิสระจากพม่า ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์มอญที่เมาะตะมะ โดยได้รับพระราชทานพระนามจากพระร่วงว่า "พระเจ้าฟ้ารั่ว" (Wareru)

พระเจ้าฟ้ารั่ว ได้ทำการต่อต้านพม่าร่วมกับ Tarabya แห่งเมืองพะโค โดยต่างได้อภิเษกกับธิดาของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย แต่หลังจากขับไล่พม่าออกไปได้แล้ว Tarabya กลับวางแผนลอบสังหารพระเจ้าฟ้ารั่ว แต่ไม่สำเร็จ หลังการสัประยุทธ์กัน พระเจ้าฟ้ารั่วจับตัว Tarabya ได้ แต่ปล่อยตัวไปหลังจากพระรูปหนึ่งได้ขอชีวิตไว้ แต่ต่อมา Tarabya ก็ยังวางแผนลอบสังหารพระเจ้าฟ้ารั่วซ้ำอีก แต่ชายาซึ่งเป็นธิดาพระเจ้าฟ้ารั่วได้เตือนบิดาเสียก่อน Tayabya จึงถูกประหารชีวิต พระเจ้าฟ้ารั่วจึงปกครองเมืองมอญแต่ผู้เดียวตั้งแต่นั้นมา

พระเจ้าฟ้ารั่ว ถูกลอบสังหารในที่สุด โดยลูก ๆ ของ Tarabya โดยหลังจากลอบสังหารเสร็จก็พากันหนีออกบวช แต่ก็ถูกเหล่าขุนนางจับสึกเพื่อสำเร็จโทษ แล้วถวายราชบัลลังก์ให้อนุชาของพระเจ้าฟ้ารั่วสืบต่อ โดยในช่วงนี้ อาณาจักรมอญได้ปกครองลงไปถึงทวาย (Tavoy)

แผ่นดินมอญช่วงนี้มีเหตุไม่สงบอยู่ตลอดเวลา มีการผลัดแผ่นดินบ่อย ถ้าหักลบปีที่พินยาอูขึ้นครองราชย์ กับปีที่พระเจ้าฟ้ารั่วสิ้นพระชนม์ ก็ห่างกัน 57 ปี และในผู้ชนะสิบทิศอ้างว่าช่วงนี้มีกษัตริย์สืบทอดถึงหกชั่วกษัตริย์ เฉลี่ยตกแผ่นดินละไม่เกินสิบปี ก็นับว่าวุ่นวายเอาการอยู่

พินยาอู (Binnya U) ขับไล่พวกกบฏออกไปพ้นจากแผ่นดินได้ แต่ต่อมาอีก 10 ปี ก็เกิดกบฏขึ้นอีกโดยคนในราชสำนักร่วมกับเจ้าเชียงใหม่ พินยาอูซื้อใจเจ้าเชียงใหม่ด้วยการอภิเษกธิดาให้ แต่ก็ยังไม่สามารถกู้เมืองเมาะตะมะคืนมาจากกบฏได้ ทำให้ต้องไปอยู่ที่ Donwun (ตองหวุ่น?) เป็นเวลา 6 ปี ก่อนที่จะถูกพวกกบฏรุกเข้ามาอีก พินยาอูต้องหนีไปที่พะโค แล้วซ่อมกำแพงเมือง ตั้งมั่นอยู่ที่นั่น ก่อนที่จะเจรจาสงบศึกกับพวกกบฏได้ และไปนำตัวธิดากลับจากเชียงใหม่ เนื่องจากไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร ดังนั้น หงสาวดีหรือพะโคซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของสุธรรมวดี จึงกลับมาเป็นเมืองหลวงของมอญอีกครั้งนับตั้งแต่บัดนั้น

พอก่อน เอาลง blog เลยละกัน ถ้ารอให้เขียนเสร็จจริง ๆ คงจะยาวเกินไป และอาจไม่มีโอกาสได้ลง blog เลยเหมือนร่างฉบับก่อน ไว้โอกาสหน้านึกอยากเขียนค่อยเขียนต่อที่เรื่องของมังสุระมณีจักร พระเจ้าราชาธิราช

อ้างอิง:

G. E. Harvey. History of Burma. Frank Cass & Co. Ltd., 1967.

ป้ายกำกับ: , ,

08 กุมภาพันธ์ 2552

Red Cliff 2

ไปดูมาแล้วครับ Red Cliff 2 หลังจาก blog ถึงตอนแรก ไปเยอะแล้ว ตอน 2 เลยเป็นเรื่องเก็บเล็กผสมน้อย

  • โรคระบาด เป็นตัวแปรสำคัญของศึกเซ็กเพ็ก หนังแอบใส่ความว่าเป็นอาวุธชีวภาพของโจโฉ ดูเหมือนคนเขียนมังกรอหังการ์ หมาป่าคะนองศึก ก็คิดคล้ายกัน ว่าเป็นฝีมือมนุษย์ (ชงต๊ะ) แต่คนทัพโจโฉก็ติดโรคด้วย ปล่อยอาวุธยังไงหว่า โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่าเป็นไปได้ยากที่จะปล่อยเชื้อโรคในแม่น้ำแยงซีเกียงที่กว้างใหญ่และเชี่ยวกรากอย่างนั้น และข้อเท็จจริงตามที่เล่าชวนหัวบอกคือ โรคพยาธิปากขอเป็นโรคประจำถิ่นของบริเวณลุ่มน้ำแยงซีเกียง แม้ทุกวันนี้
  • แทรกบทผู้หญิงเยอะมาก ทั้งน้องสาวซุนกวนที่แฝงตัวไปเป็นสายลับ ทั้งเสี่ยวเกี้ยวที่เข้าไปเกลี้ยกล่อมและถ่วงเวลาโจโฉ โดยบทบาทของเสี่ยวเกี้ยวช่วยเน้นบุคลิกส่วนที่อ่อนไหวของโจโฉออกมา
  • ใช้บทกวีของโจโฉมาเดินเรื่อง โดยเลือกเอา "เพลงแกล้มสุรา" ซึ่งบ่งบอกปณิธานของโจโฉได้เป็นอย่างดี ขอคัดสำนวนแปลของ โชติช่วง นาดอน จากหนังสือ "เงาพระจันทร์ในคมกระบี่":
    เอาเพลงแกล้มสุราชีวายาวฤๅสั้น
    ก็เพียงน้ำค้างเช้า
    อดีตมากเศร้าร้องร่ำลำนำ
    ตรอมตรำตรึงตรา
    สิ่งผ่อนโศกามีแต่สุราตู้คัง
    อาวรณ์อาลัยสหายเอยข้าห่วงพะว้าพะวัง
    หลั่งรินเพลงในวันนี้
    "อาภรณ์ชุดเขียวตรึงตราฤทัย"
    "สำเนียงกวางฟานไล่หญ้าพงพี
    สหายประเสริฐข้ามีผิวขลุ่ยแลพลิ้วพิณ"
    ความตรมพล่านพลุ่งมิขาด
    ยามใดจักได้
    จันทร์อันใส กระจ่าง
    ข้ารอผู้ข้ามเขาข้ามทุ่งมา
    จักน้อมเสวนา
    สรวลเสพสังสรรค์
    ร่วมรำลึกความหลัง
    เดือนแจ่ม ดาวจาง
    วิหคผกผิน เวียนบินหาคาคบ
    ยังไร้กิ่งใดพำนัก
    ภูเขาฤๅหน่ายสูงทะเลฤๅหน่ายลึก
    เจ้าโจวคายข้าวโลกจึงบังคม
    สำนวน "เจ้าโจวคายข้าว" นี้ หมายถึงโจวกงต้าน หรือ "จิวกง" ในราชวงศ์โจว (จิว) ซึ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตนในการคบหากับผู้มีสติปัญญาความสามารถ ถึงขนาดกำลังกินข้าวอยู่ก็รีบหยุดทันทีเพื่อมารับแขกที่มาขอพบ แม้ตนจะมียศศักดิ์สูงเพียงใดก็ตาม ตรงนี้เองที่โจโฉนำมาเป็นแบบอย่างในอุดมการณ์ของตนที่จะกอบกู้บ้านเมือง
  • ดูเหมือน จอห์น วู จะดักคอคนประเภทผมไว้ด้วย ที่ได้ปรามาสเล่าปี่ที่คอยแต่จะชุบมือเปิบในศึกเซ็กเพ็กนี้ ด้วยการเขียนบทให้เป็นอุบายของจิวยี่ เพื่อจะมาตลบหลังโจโฉในภายหลัง เอาเป็นว่าไม่พูดละเอียดละกัน เผื่อใครยังไม่ได้ดูแต่เผลออ่านมาถึงตรงนี้จะได้ไม่เสียอรรถรสเกินไปนัก :-)
  • เรื่องเรือฟางรับเกาทัณฑ์ยังคงใส่เข้ามา แต่เอามาผูกรวมกับกรณีหลอกฆ่าชัวมอ เตียวอุ๋น ด้วย ก็เป็นการรักษาบรรยากาศการประชันปัญญาระหว่างจิวยี่กับขงเบ้ง แต่ทำได้แนบเนียนขึ้น กลายเป็นว่าจิวยี่ก็ทำทัณฑ์บนไว้ด้วย แล้วก็บังเอิญกรณีหลอกเอาเกาทัณฑ์ก็ไปช่วยเสริมให้โจโฉฆ่าชัวมอ-เตียวอุ๋นด้วย
  • ไม่ผิดหวังที่ไม่มีบทขงเบ้งตั้งปะรำทำพิธีเต๋าเรียกลม แต่เผยข้อมูลกันตรง ๆ เลย ทำให้เรื่องดูสมเหตุสมผล ไม่น้ำเน่าเหมือนฉบับงิ้ว ..นี่คงกลายเป็นโจทย์สำหรับผู้สร้างสามก๊กยุคใหม่ไปแล้ว ที่จะบำบัดความเน่าของสามก๊กฉบับงิ้ว และปรับให้ทุกอย่างสมเหตุสมผลขึ้นด้วยทัศนะของผู้สร้างเอง
  • เทศกาลอะไรสักอย่าง ผมจำชื่อไม่ได้ ที่เป็นการรวมญาติพี่น้อง และมีการกินขนมบัวลอยแบบมีไส้.. แต่ไปค้นข้อมูลแล้ว ใกล้เคียงกับเทศกาลหยวนเซียว (แต้จิ๋ว: ง่วนเซียว) มากที่สุด ซึ่งเป็นเทศกาลประดับโคม วันที่ 15 หลังตรุษจีน ขนมบัวลอยมีไส้นั้น เรียกว่า ถวนหยวน แปลว่า คืนสู่เหย้า อันนี้ไม่แน่ใจว่า จอห์น วู ต้องการแทรกเรื่องประเพณีจีน (ซึ่งบังเอิญอยู่ในช่วงที่หนังออกฉาย คือตรงกับ 9 ก.พ. หรือวันมาฆบูชานี้) หรือมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ว่าศึกเซ็กเพ็กแตกหักในช่วงเทศกาลนี้
  • กำเหล็งพลีชีพ! มายังไงเนี่ย กะจะให้สามก๊กจบมันตรงนี้เลยหรือ
  • ตอนท้าย จิวยี่และทัพพันธมิตรปล่อยโจโฉไป ในฉบับงิ้วนั้น กวนอูเป็นคนปล่อย จากการดักตีหัวตามทางตามแผนขงเบ้ง แต่ตามประวัติศาสตร์นั้น โจโฉเผาทัพเรือตัวเองเพื่อกำจัดโรคระบาดก่อนถอนทัพกลับเอง.. จะเป็นยังไงก็ตาม แต่จุดประสงค์ของหนังคือ ต้องการให้จิวยี่ทิ้งคำพูดเด็ด "รบแล้วมีใครได้อะไรบ้าง" เมื่อรวมกับที่เสี่ยวเกี้ยวตั้งชื่อลูกในครรภ์ว่า "ผิงอัน" ที่แปลว่า "สงบสุข" และฉากสงครามบ้าระห่ำยืดเยื้อจนเอียน ก็สื่อความมาตลอดเรื่องว่า "หยุดสงครามเถอะ" คือเป็นหนังสงครามเพื่อสันติภาพ

ปิดท้ายด้วย โคลงนำเรื่องสามก๊ก ซึ่งในหนังมอบให้เสี่ยวเกี้ยวเป็นผู้ร่าย..

๏ น้ำแยงซีรี่ไหลสู่บูรพา
คลื่นพัดกวาดพาวีรชนหล่นลับหาย
ถูกผิดแพ้ชนะวัฏจักรเวียนว่างดาย
สิขรยังคงตะวันยังฉายนานเท่านาน

๏ เกาะกลางชลคนตัดฟืนผมขาวเฒ่าหาปลา
สารทวสันต์เห็นมาเหลือหลายที่กรายผ่าน
สังสรรค์สุราป้านใหญ่ให้ตำนาน
เก่าเก่าใหม่ใหม่สรวลสราญเล่ากันมาฯ

๚ะ๛

ป้ายกำกับ: , , , ,

03 สิงหาคม 2551

Bayinnaung

นอกจากสามก๊กและเรื่องอื่น ๆ ของจีนแล้ว นิยายปลอมพงศาวดารอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบ ซึ่งหลังจากได้ฉบับรวมเล่มราคาถูกมาจากงานสัปดาห์หนังสือ และใช้เวลาเป็นเดือน ๆ อ่านเก็บเล็กผสมน้อยก่อนนอนคืนละสิบกว่าหน้า (เพื่อไม่ให้กระทบเวลางาน) ในที่สุดก็จบนิยายหนาเกือบสองพันหน้านี้จนได้

ผู้ชนะสิบทิศนี้ เคยเรียนตอนศึกเมืองแปรที่ตะเบงชะเวตี้แตกทัพมาแล้ว ได้รู้เค้าโครงเรื่องจากเพลงในชุดผู้ชนะสิบทิศของครูไสลมาบ้าง (มีเว็บรวมเพลงด้วย) แล้วก็รู้มาว่า ยาขอบยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ว่านี่เป็นเรื่อง ปลอมพงศาวดาร ล้วน ๆ โดยอาศัยข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์เพียงเล็กน้อย มาขยายความเป็นร้อยเป็นพันหน้า

แต่ก็ยังอยากอ่านเรื่องเต็ม เพราะรู้สึกถึงรสวรรณกรรมหลากหลายชวนติดตาม แล้วก็ไม่ผิดหวัง แถมยังเป็นแรงกระตุ้นให้ไปหยิบหนังสือประวัติศาสตร์พม่าที่เคยซื้อมาไว้นานแล้ว มาเปิดอ่านเป็นครั้งแรกด้วย!

แน่นอนว่าเรื่องปลอมพงศาวดารนั้น ปลอมมากจนจริงกับเท็จปนเปกัน หนักกว่าสามก๊กเยอะ ผิดกันแต่ว่า เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีว่าเป็นเรื่องปลอม ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเท่าสามก๊ก และความที่เป็นกึ่ง ๆ นิยายประโลมโลก จึงไม่มีตำราบริหารใดยกขึ้นมาเป็นคัมภีร์เหมือนสามก๊ก

แต่เมื่อได้อ่านแล้ว จะพบว่าในส่วนกลศึกต่าง ๆ นั้น ดูสมจริงและเป็นเหตุเป็นผลกว่าสามก๊กเสียอีก การสั่งการก็เป็นขั้นเป็นตอน ที่ไหนที่ชวนสงสัย ก็มีบทถามหรือโต้แย้งของแม่ทัพรอง และนายทัพก็อธิบายจนกระจ่าง ไม่ใช่คนรับคำสั่งยังงง ๆ จนสุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่ากูรบชนะได้ไงเหมือนสไตล์ขงเบ้ง การแสดงภาพทีมเวิร์กอย่างชัดเจนอย่างนี้สิ ยังน่าเป็นตัวอย่างการบริหารได้ดีกว่าเป็นไหน ๆ

นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังสะท้อนบุคลิกของคนที่เกิดมาเพื่อเป็น "ผู้ชนะสิบทิศ" ได้ดีทีเดียว อ่านแล้วจะรู้สึกบ้าพลังอย่างบอกไม่ถูก กลับมามองชีวิตตัวเองแล้วจะเห็นอุปสรรคเป็นเรื่องขี้ผงอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

ส่วนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ .. แหะ ๆ คงไม่ต้องวิจารณ์มาก เห็นชัดกันอยู่แล้ว

และที่น่าสนใจคือ ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของเรื่อง ซึ่งจะมีบทสนทนาที่อ้างถึงประวัติศาสตร์ช่วงต่าง ๆ ของพม่าอยู่ประปราย เป็นแนวให้ไปสืบค้นได้ ไม่ใช่แค่ช่วงแผ่นดินตะเบงชะเวตี้ตามท้องเรื่องเท่านั้น ที่แน่ ๆ คือ ชวนให้อยากอ่านเรื่องราชาธิราช คล้าย ๆ กับตอนที่อ่านสามก๊กแล้วทำให้อยากอ่านเรื่องไซ่ฮั่นเพิ่ม (ซึ่งก็ได้อ่านไปแล้วเช่นกัน)

นี่แหละ ที่ทำให้ได้ไปปัดฝุ่นหนังสือ "History of Burma" บนชั้นหนังสือ อ่านแล้วค่อย ๆ สร้างเค้าโครงประวัติศาสตร์.. แล้วก็นึกเสียดายที่ไม่ได้ตั้งใจเรียน "เพื่อนบ้านของเรา" สมัยมัธยมให้มากกว่านี้

ภูมิหลังประวัติศาสตร์พม่าก่อนเรื่องผู้ชนะสิบทิศนี้ก็คือ แผ่นดินพม่านั้นไม่ได้เป็นเอกภาพหนึ่งเดียว แต่ประกอบด้วยชนชาติต่าง ๆ อาศัยอยู่ด้วยกันหลายชนชาติ เอาเฉพาะที่ถูกอ้างถึงในเนื้อเรื่อง ก็มี มอญ (ตะเลง), พม่า, กะเหรี่ยง, โมนยิน (ฉาน/ไทใหญ่), ยะไข่ แต่ละชนชาติก็ครอบครองพื้นที่แยกต่างหากจากกันเหมือนเป็นคนละประเทศ จนกระทั่งมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นครั้งแรก ในสมัยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ (Tabinshwehti) แห่งราชวงศ์ตองอู แล้วอำนาจของพม่าก็แผ่ไพศาลถึงขีดสุดในสมัยพระเจ้าบาเยงนอง (Bayinnaung) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ บุเรงนองกะยอดินนรธา พระเจ้าชนะสิบทิศผู้พิชิตกรุงศรีอยุธยานั่นเอง ก่อนที่จะอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วในสมัยพระเจ้านนเตี๊ยะบาเยง (Nandabayin) หรือ นันทบุเรง อันเนื่องมาจากนโยบายการบริหารที่ผิดพลาด จนกระทั่งอยุธยาภายใต้การนำของสมเด็จพระนเรศวรผงาดขึ้นมาครองอำนาจในภูมิภาคแทน

พม่าในยุคเริ่มแรก คืออาณาจักรพุกาม (Pagan) ซึ่งผมยังเก็บรายละเอียดไปไม่ถึง ขอข้ามไปก่อน แต่ต่อมาถูกกุบไลข่านรุกราน และเข้ามาครอบงำอำนาจ เจ้ากี้เจ้าการรับรองกษัตริย์ต่าง ๆ ในฐานะผู้ครองแคว้นหนึ่งของจีน นอกจากนี้ ยังได้รับอิทธิพลจากการอพยพลงใต้ของชนเผ่าไท คือพวกไทใหญ่ที่เข้ามายึดพื้นที่ ผลักดันชาวพม่าให้ถอยร่นลงใต้

ในสมัยนั้น ศูนย์กลางอำนาจของพม่าอยู่ที่อังวะ (Ava) ส่วนทางใต้ ชาวตะเลงก็ครอบครองพื้นที่อยู่ โดยมีศูนย์กลางเดิมอยู่ที่เมาะตะมะ (Martaban) ก่อนจะย้ายมาที่พะโค (Pegu) หรือหงสาวดี โดยเมื่อไทใหญ่บุกลงมายึดอำนาจในอังวะได้ ชาวพม่าก็อพยพหนีความโหดร้ายป่าเถื่อนของไทใหญ่ลงมารวมกันที่ศูนย์อำนาจสำคัญสองแห่ง คือ แปร (Prome) และตองอู (Toungoo) โดยที่ตองอูนั้น สัดส่วนของประชากรพม่าจะสูงที่สุด จึงมีเอกภาพและกลายเป็นศูนย์รวมของพม่าที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ

เรื่องราชาธิราชนั้น เป็นประวัติศาสตร์ของมอญ-พม่าในช่วงก่อนการรุกรานของไทใหญ่ ศูนย์กลางของตะเลงเพิ่งย้ายมาหงสาวดีใหม่ ๆ ส่วนศูนย์กลางของพม่ายังคงอยู่ที่อังวะ ส่วนเรื่องผู้ชนะสิบทิศ จะเริ่มในช่วงที่ตองอูเรืองอำนาจแล้ว และเริ่มแผ่ขยายอำนาจไปปราบหงสาวดี แปร และอังวะ (ที่โมนยินไทใหญ่ครอบครองอยู่) รวมแผ่นดินลุ่มแม่อิระวดีเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้เศวตฉัตรของพระจักรพรรดิตะเบงชะเวตี้ที่หงสาวดี และภายหลังพระเจ้าบุเรงนองได้สานต่อ ไปปราบยะไข่ เชียงใหม่ และอยุธยาด้วย

ไว้คราวหน้าค่อยมาเขียนเพิ่ม เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองต่าง ๆ

ป้ายกำกับ: , ,

02 สิงหาคม 2551

Red Cliff

ได้ไปดู Red Cliff หรือสามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ มา เป็นอีกครั้งหนึ่งของหนังฟอร์มยักษ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากนิยายระดับมหากาพย์ มีการผ่าตัดเนื้อเรื่องตามปกติ แต่คราวนี้ ความคิดเห็นไม่ได้เหมือน ครั้งดูเรื่อง Troy เนื่องจากกรณีของ Troy นั้น สิ่งที่มีให้เปรียบเทียบมีเพียงงานวรรณกรรมล้วน ๆ ในขณะที่สามก๊ก มีทั้งนิยายและประวัติศาสตร์

ผมเคย อ้างถึง ประวัติศาสตร์สามก๊กไปแล้วครั้งหนึ่ง การมีประวัติศาสตร์ให้เทียบกับนิยาย ก็ทำให้แยกแยะส่วนที่เป็นจินตนาการของกวีออกจากส่วนที่เป็นประวัติศาสตร์ได้ และการดัดแปลงเนื้อหาใน Red Cliff ครั้งนี้ ก็เป็นการผสมผสานกันระหว่างนิยายกับประวัติศาสตร์

ศึกเซ็กเพ็ก หรือยุทธนาวีผาแดงนี้ ในประวัติศาสตร์นั้น วีรบุรุษของฝ่ายสัมพันธมิตรคือจิวยี่ แม่ทัพเรือของง่อก๊ก ซึ่งใช้ความช่ำชองทางน้ำและการวางแผนที่ดีทำศึกกับโจโฉ จนโจโฉผู้คร่ำหวอดกับการศึกจากการปราบภาคเหนือมายังต้องออกปากชม แต่ในตอนท้ายของสงคราม ทัพโจโฉประสบกับโรคระบาด ทำให้โจโฉตัดสินใจถอนทัพกลับ โดยในบันทึกจดหมายเหตุของวุยก๊กยังระบุว่าโจโฉเป็นคนสั่งจุดไฟเผาทัพเรือตัวเองด้วย เพื่อกำจัดโรคระบาดหนึ่ง และเพื่อไม่ให้ฝ่ายง่อก๊กได้กองเรือไปใช้ประโยชน์อีกหนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏว่าโจโฉจะเสียทัพอย่างไม่เป็นกระบวนอย่างในนิยาย แถมยังกลับไปเตรียมการศึกครั้งใหม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยเปลี่ยนมาใช้วิธีตีเก็บเล็กผสมน้อย บวกกับการทำนาแบบถุนเถียน ไม่ได้โหมรุกเป็นทัพใหญ่เหมือนศึกครั้งนี้อีก

ส่วนแม่ทัพจิวยี่นั้น เสียชีวิตหลังเสร็จศึกเซ็กเพ็กสองปี อาจเป็นเพราะติดโรคระบาดในครั้งนั้น ประกอบกับการตรากตรำทำศึกมานาน โดยหมอของกังตั๋งยื้อชีวิตแม่ทัพมาได้ถึงสองปี

แต่ภาพที่ล่อกวนตงละเลงในสามก๊กฉบับงิ้วนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิง พระเอกของเรื่องกลายเป็นขงเบ้งที่มาโน้มน้าวกังตั๋งให้ประกาศสงคราม ส่วนตัวเองคอยออกอุบาย ชิงไหวชิงพริบกับจิวยี่ขี้อิจฉา จนกระทั่งสามารถยืมมือง่อก๊กทำลายทัพเรือโจโฉย่อยยับ แต่จะสังเกตว่า แม้ในนิยาย ทุกอย่างก็เกิดจากอุบายความคิดของจิวยี่เป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่นิยายแสดงให้เห็นว่าขงเบ้งรู้เท่าทันตลอดเท่านั้น

นอกจากนี้ นิยายยังให้ขงเบ้งแต่งทัพซุ่มโจมตีระหว่างทางถอยของโจโฉไปจนถึงถนนสายฮัวหยง ให้กวนอูได้แทนคุณโจโฉเพื่อเคลียร์ใจ แล้วปล่อยโจโฉซมซานกลับฮูโต๋พร้อมทหารติดตัวไม่กี่นาย ทางฝ่ายจิวยี่นั้น ก็เสียรู้ขงเบ้งครั้งแล้วครั้งเล่าจนรากเลือดตาย ซึ่งเป็นหนังคนละม้วนกับบันทึกประวัติศาสตร์

เท่านั้นยังไม่พอ นอกจากจะไม่ได้ส่งกำลังมาช่วยในทัพเรือแล้ว หลังเสร็จศึกขงเบ้งยังวางแผนยึดเมืองต่าง ๆ สบายใจเฉิบ รวมทั้งฉกเกงจิ๋วไปครองหน้าตาเฉย

เรียกว่าทั้งชุบมือเปิบ ทั้งหักหลังมิตร แต่ล่อกวนตงก็เขียนให้ผู้อ่านเห็นใจฝ่ายเล่าปี่ และนิยมในความเก่งกาจของขงเบ้งได้ แถมริบเครดิตเกือบทุกอย่างของจิวยี่ไปให้ขงเบ้งเสียด้วย

ดังนั้น การดัดแปลงเนื้อเรื่องของ Red Cliff ที่ให้จิวยี่เป็นวีรบุรุษ แถมยังหยิกขงเบ้งให้ดูเปิ่นบ่อย ๆ เช่น "อากาศเย็นทำไมถือพัด" หรือครั้งที่ขงเบ้งบอกว่าอาบน้ำให้นกแล้วเอาพัดโบกให้แห้ง "แล้วถ้ามันเป็นหวัดล่ะ" อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะทำให้คนที่อินกับนิยายไม่พอใจบ้าง แต่ผมดูแล้วขำ คิดว่า จอห์น วู (ยินว่าครั้งนี้เขาลงมือเขียนบทด้วยตัวเอง) ก็คงอยู่ในกลุ่มที่หมั่นไส้ขงเบ้งเหมือนกับผมและอีกหลาย ๆ คน และการสร้าง Red Cliff ในครั้งนี้ ก็เป็นการคืนเครดิตอันพึงมีให้กับจิวยี่นั่นเอง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะอิงแต่ประวัติศาสตร์ทั้งหมด รายละเอียดปลีกย่อยในนิยายก็ยังเอามาผสมเพื่อเอาใจคอนิยาย เช่น เรื่องการตีฝีปากของขงเบ้งท่ามกลางหมู่เสนามาตย์ของง่อก๊ก ความคลั่งไคล้เสี่ยวเกี้ยวของโจโฉ (ที่ออกจะทำโจ่งแจ้งเกินนิยายด้วยซ้ำ) ความบ้าระห่ำของเตียวหุย (แต่ไม่ได้ให้เครดิตอุบายลวงที่สะพานเตียงปันเกี้ยวกับเขา แค่เอามาเป็นแนวคิดทำม่านฝุ่นบังค่ายกลเท่านั้น) ฝีไม้ลายมือของกวนอู (ที่เอามาจากตอนอื่น เนื่องจากครั้งนี้กวนอูไม่ได้มีบทบาทอะไรในนิยาย เพราะอยู่ระหว่างไปขอกำลังเล่ากี๋ที่เมืองกังแฮมาช่วย) และวีรกรรมช่วยอาเต๊าของจูล่ง (ซึ่งเรื่องของจูล่งครั้งนี้ตรงกับบันทึกในประวัติศาสตร์) นี่ยังนึก ๆ อยู่ ว่าภาคสองยังจะให้ขงเบ้งทำพิธีเรียกลมสลาตันอีกหรือเปล่า ที่แน่ ๆ คือ เห็นโปรยไว้แล้ว เรื่องเรือฟางเก็บลูกเกาทัณฑ์จากทัพโจโฉ

แต่ท่าทาง จอห์น วู จะอยากเห็นบทของสตรีมากขึ้น ถึงได้ดึงซุนหยิน น้องสาวซุนกวน หรือที่เรียกว่า ซุนฮูหยิน หลังแต่งงานกับเล่าปี่แล้ว ให้มาออกศึกกับเขาด้วย ทั้งที่ในนิยายยังไม่มีบทของเธอในตอนนี้ แล้วก็ยังเพิ่มบทพูดให้เสี่ยวเกี้ยว ภรรยาคนสวยของจิวยี่ เกี่ยวกับการสงคราม ยินว่าภาคสองจะเป็นคนถือสารไปถึงทัพโจโฉด้วย

อีกประการหนึ่งที่ดัดแปลงคือ ภาพของความสามัคคีระหว่างสัมพันธมิตร โดยกองกำลังของเล่าปี่ได้เข้ามาร่วมรบด้วย ผิดกับในนิยายที่นอนทอดหุ่ยอยู่ที่แฮเค้า รอดูจิวยี่รบ โดยส่งขงเบ้งเข้าไปเป็นทูตเพียงคนเดียว อันนี้ถ้าไม่ดัดแปลงบทล่ะก็ คงเป็นเรื่องสงครามโจโฉ-จิวยี่ล้วน ๆ โดยแทบไม่มีบทของฝ่ายเล่าปี่เลย

แต่ก็ให้เป็นความสามัคคีที่จิวยี่เป็นคนสร้าง โดยใช้วาทะการดึงเชือกฟาง นับว่ารักษาคอนเซปต์ได้เสมอต้นเสมอปลายดี

ทั้งการเอาเรื่องโจโฉอยากได้นางไต้เกี้ยวเสี่ยวเกี้ยวมายั่วจิวยี่ให้ร่วมรบ ก็ไม่มีให้เห็น ก็เล่นเอาเสี่ยวเกี้ยวมานั่งกันท่าอย่างนี้ ขงเบ้งยังจะยั่วได้ลงคอก็ให้มันรู้ไปสิ

ส่วนที่ชอบก็คือ การเอาค่ายกลโป๊ยก่วยออกมาแสดงได้อย่างเห็นภาพ แม้ในนิยายจะไม่มีการใช้ในตอนนี้ การทำฉากกองเรือเรือนหมื่นให้เห็นภาพ ว่ามันมากมายขนาดไหน คนอ่านนิยาย ก็คงนึกถึงจำนวนตัวเลข แต่ไม่ได้เห็นภาพว่ามันมากมายมหาศาลขนาดนี้

แต่ทำไมนะ.. ดูหนังจีนฉบับฮอลลีวู้ดแล้วรู้สึกขาด ๆ เกิน ๆ ทุกครั้ง กับ over-acting ของตัวละคร แม้ผู้กำกับจะเป็นคนจีนเองก็ตาม (ผมเริ่มเอียนตั้งแต่ เก๋าเจ้งไทเกอร์ริบบิ้นดรากอน เป็นต้นมา) จิวยี่เป็นคนเชี่ยวชาญดนตรีก็จริง แต่ถึงกับสั่งให้กองทัพหยุดฝึกเพื่อฟังเสียงขลุ่ยของเด็ก มันรู้สึกเวอร์ไปหน่อย แต่การที่พ่อเฒ่ามีเรื่องร้องเรียนเรื่องกระบือหาย ก็พอชดเชยได้ แต่ถ้าเป็นสนามซ้อมจริง พอมีคนมาร้องเรียนอะไร แม่ทัพจะสั่งกองทัพทั้งหมดหยุดซ้อมเลยงั้นหรือ จะไม่ให้แม่ทัพรองออกไปรับเรื่องแทน หรือไม่ก็ให้แม่ทัพรองดูการซ้อมไปก่อน แล้วตัวเองค่อยออกมาฟังความ ก็ค่อยดูสมเหตุสมผลหน่อย เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีคนมาโหวกเหวกเรื่องม้าคลอดลูกไม่ออกให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ให้กองทัพทั้งหมดหยุดซ้อมต่อไป ดูไม่เป็นมือโปรเท่าไรเลย

หรือจะเป็นฉากสนามรบ ก็ไม่รู้จะมีทหารเลวไปทำไม รบทีไรก็ให้แต่นายกองออกลุยเดี่ยวตลอด แล้วก็แอคชันแบบฝากอาวุธตัวเองไว้กับศพ หักทวนศัตรูมาเสียบ ดูแล้วมันเวอร์จนเอียนน่ะ หรือฝรั่งเขาชอบดูหนังจีนแบบนี้กันเหรอ?

แต่อาจจะให้อภัยได้สำหรับการถ่ายทอดความลังเลใจของซุนกวน โดยใช้การล่าเสือนำไปสู่จุดแตกหัก นับว่าทำได้ดี

อ้อ มีเกร็ดนิดหนึ่งเกี่ยวกับขงหยงที่ถูกโจโฉสั่งประหารตอนต้นเรื่อง เขาถูกประหารจริงทั้งในประวัติศาสตร์และในนิยาย ในฐานะที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโจโฉ ชอบขัดคอด้วยหลักปรัชญาขงจื๊อบ่อย ๆ การประหารขงหยงซึ่งมีเชื้อสายมาจากขงจื๊อ จึงทำให้นักปราชญ์ต่าง ๆ ไม่พอใจโจโฉ แล้วก็ทำให้เขียนตอกไข่ใส่ความโจโฉต่าง ๆ นานาในเวลาต่อมา

ป้ายกำกับ: , , , ,

08 เมษายน 2551

Book Fair, swath, xiterm+thai

เข้ากรุงเทพฯ มา 3-4 วัน ไปทำธุระ พร้อมกับแวะงานสัปดาห์หนังสือด้วย แต่การเดินทางในกรุงเทพฯ ก็ทำให้เจอลมแรง จนตาแห้งกลับมากำเริบใหม่ กลับถึงบ้านเลยเคลียร์งานอย่างเดียว จะเขียน blog ก็ลำบากลำบนเกินไป

งานสัปดาห์หนังสือ

ปกติผมจะคุมงบ ด้วยการเดินสแกนรอบหนึ่งก่อน แล้วเลือกหนังสือพร้อมจดราคาไว้ จากนั้นค่อยเดินไล่ซื้อ วิธีนี้ทำให้งบไม่บานปลาย ปกติจะเกินพันไม่เท่าไร แต่ปีนี้ ราคาหนังสือมันแพงขึ้น ปาเข้าไปสองพัน คุมงบลำบากจริง ๆ

แต่เดินซื้อหนังสือทีไร ทำให้สังเกตได้ว่า speed reading น่าจะฝึกได้ด้วยการยืนอ่านหน้าร้านบ่อย ๆ เพราะอ่านได้เร็วกว่านั่งอ่านที่บ้านมาก

สุริยัน

โครงการ Suriyan Live CD เสร็จสิ้นลงแล้ว งานนี้ SIPA เป็นผู้ว่าจ้าง MetaMedia ทำ ผมเองเข้าไปแจมในฐานะที่ปรึกษานิดหน่อย แต่หน้าที่หลักคือดูแลแพกเกจภาษาไทยใน TLWG ให้ทันสมัย การที่เห็นแพกเกจภาษาไทยออกรุ่นบ่อยที่ LTN ในช่วงที่ผ่านมา ก็ต้องให้เครดิตโครงการสุริยันที่เป็นผู้สนับสนุนครับ

แต่น่าเสียดาย ที่แพกเกจภาษาไทยหลายตัวเข้า Hardy ไม่ทัน ผู้ใช้ Ubuntu คงต้องรอพบใน Intrepid นะครับ หรือถ้าใช้ Debian lenny/sid ก็สามารถลองได้เลย แต่ถ้าจะดู KDE 4 ที่รองรับภาษาไทยดี ๆ ก็ต้องลองสุริยันละครับ เพราะแพตช์ต่าง ๆ ยังคงรอ check-in อยู่

swath

ตามที่ได้ blog ไว้ เรื่อง การแก้ไขเรื่องการใช้แฟ้มชั่วคราว และ แผนการขั้นต่อไป ของ swath กลับจากกรุงเทพฯ มา ยังไม่พบ feedback ใด ๆ ก็เลยต้องอาศัยการทดสอบของผมเอง แล้วก็ออก swath 0.3.4 พร้อม upload 0.3.4-1 เข้า Debian ไปเรียบร้อย (bact ช่วยประกาศ ให้ด้วย)

xiterm+thai

นิวตรอน ซึ่งเป็นผู้ดูแล Debian package ของ xiterm+thai คนปัจจุบัน ได้ทำ desktop icon เพิ่มใน deb ของเขา พร้อมทั้งได้รับ feedback จาก Debian Developer (DD) ที่เป็น sponsor มา 2-3 เรื่อง จึงส่งต่อมาที่ upstream ผมเลยได้โอกาสปรับปรุง xiterm+thai เพิ่มเติมอีก ได้แก่

  • ผนวก desktop icon ของนิวตรอนเข้าใน upstream
  • แก้ไขเรื่อง xpm support ที่ขาด preprocessor ทำให้แม้ detect เจอ โค้ดที่เรียกก็ยังถูกปิด ก็จัดการแก้เสีย โค้ดส่วนนี้เป็นส่วนจัดการภาพพื้นหลังของเทอร์มินัล
  • ตัดการ link กับ libSM และ libICE ซึ่ง dpkg-shlibdeps ตรวจพบ ว่าไม่มีการใช้ฟังก์ชันใด ๆ เลยในนั้น ทีแรกว่าจะไม่แก้ แต่หลังจากนั่งแกะไปเรื่อย ๆ ก็พบวิธีแก้ ด้วยการแทนที่แมโคร AC_PATH_XTRA ใน configure.in ด้วย PKG_CHECK_MODULES โดยจะใช้ modularity ของ xorg 7 ให้เป็นประโยชน์ และทิ้งการรองรับ X11R6 ไป ผลที่ได้คือ เมื่อโหลด xiterm+thai แล้ว ใช้หน่วยความจำลดลงจาก 1.7 MB เหลือ 388 KB นอกจากนี้ deb ที่นิวตรอนจะ build ก็น่าจะมี dependency ลดลงไปอีกสองตัว (คือ libsm6 และ libice6)
  • แก้ gcc warning ทั้งหลาย

ออก xiterm+thai 1.08 ไปแล้ว ผู้ใช้ Debian อดใจรอแพกเกจจากนิวตรอนสักพัก ;-)

ขอ blog รวมมิตรแบบนี้ละ จะได้ไม่ต้อง blog ยาวหลายเรื่อง เพื่อสุขภาพตา

ป้ายกำกับ: , , , ,

05 ตุลาคม 2550

Thai Script Origin

เพิ่งได้หยิบหนังสือ "อักษรไทยมาจากไหน?" ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่ซื้อไว้นานแล้วขึ้นมาอ่านระหว่างเดินทาง กลายเป็นข้อมูลใหม่ (สำหรับผม แต่คงไม่ใหม่สำหรับวงการ) เกี่ยวกับกำเนิดอักษรไทย

ข้อมูลทั่วไปที่ทราบต่อ ๆ กันมาคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยใน พ.ศ. ๑๘๒๖ โดยดัดแปลงมาจากอักษรขอมและมอญ จากนั้นจึงวิวัฒน์ต่อมาในสมัยอยุธยา โดยได้รับอิทธิพลจากภาษาเขมรมาเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นอักขรวิธีในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลนี้ มีความจริงอยู่เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าว่าตามหลักฐานที่มีผู้ศึกษาใหม่

คงไม่ต้องพูดถึงความเข้าใจผิดของนักเรียนไทยบางส่วน ว่า "อาณาจักรสุโขทัย" เป็นอาณาจักรแห่งแรกของไทย พอหมดสุโขทัยจึงย้ายมาตั้งเมืองหลวงที่อยุธยาทำนองเดียวกับการย้ายกรุงครั้งหลัง ๆ เรื่องนี้หลายคนคงทราบอยู่ว่า สมัยนั้นยังไม่มีการตั้งอาณาจักร แต่มีรัฐอิสระคือสุโขทัยกับอยุธยาอยู่ร่วมสมัยกัน จนกระทั่งสุโขทัยถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา จึงกลายเป็นอาณาจักรแรกของไทย ที่รวมรัฐต่าง ๆ เข้าด้วยกัน คืออาณาจักรอยุธยา มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา

แต่เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น เริ่มจากคำว่า "ขอม" ตามความเห็นของ จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ได้หมายถึงชนชาติหรือเชื้อชาติ แต่หมายถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่รับวัฒนธรรมฮินดูจากชมพูทวีปแล้วภายหลังเปลี่ยนเป็นพุทธมหายาน (ต่างกับชนชาติไทย-ลาวที่นับถือผีก่อนเปลี่ยนมารับพุทธเถรวาทจากชมพูทวีป) ใช้อักษรขอมในการจดจารึก ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมถึงชนชาติเขมรและรัฐเครือญาติทั้งหมด รวมทั้งละโว้ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นอโยธยาศรีรามเทพนครด้วย คำว่า "ขอม" ถูกใช้เรียกกลุ่มคนโดยรวม คล้ายกับการใช้คำว่า "แขก" เรียกคนอิสลาม/ซิกข์/ฮินดูโดยรวม โดยไม่แยกว่าเป็นคนอินเดีย มลายู ชวา หรือตะวันออกกลาง

ส่วนกลุ่มคนที่เรียกว่า "ไท" หรือ "ไทย" รวมทั้ง "ลาว" นั้น เดิมมีศูนย์กลางอยู่ที่ลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีการอพยพโยกย้ายเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง จนเข้าครอบครองละโว้ในที่สุด พร้อมกับมีรัฐอื่น ๆ ของคนไทยเกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน คือสุพรรณภูมิ สุโขทัย และนครศรีธรรมราช (จะเห็นว่า เมื่อรวมกันเป็นอาณาจักรแล้ว จึงมีการผลัดเปลี่ยนขั้วอำนาจไปมาระหว่างราชวงศ์เหล่านี้ รวมทั้งราชวงศ์อู่ทองของละโว้เองด้วย) ต่อมา ละโว้เกิดกาฬโรคระบาด พระเจ้าอู่ทองจึงย้ายจากลพบุรีมาตั้งกรุงศรีอยุธยาที่บริเวณเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ตรงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนทางฝั่งตะวันตกนั้น ยังเป็นเขตของรัฐสุพรรณภูมิ ดังนั้น ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยานั้น จึงไม่ใช่จุดเริ่มต้นของคนไทยในรัฐละโว้ แต่มีหลักแหล่งในละโว้อยู่ก่อนหน้านั้นนานแล้ว

ช่วงก่อนจะตั้งกรุงศรีอยุธยานั้น คนไทยในละโว้ได้รับเอาอักษรขอมมาเขียนภาษาไทย แล้วต่อมาก็มีการดัดแปลงเพิ่มเติม เพื่อให้เขียนภาษาไทยได้ครบเสียงยิ่งขึ้น จนกลายเป็นอักษรไทยในที่สุด โดยพบหลักฐานเป็นจารึกสมุดข่อยที่ระบุเวลาที่เขียนก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาร่วมร้อยกว่าปี และก่อนที่พ่อขุนรามคำแหงจะจารึกลายสือไทยในศิลาจารึกด้วย คือกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ (ตอนท้าย) คำนวณปีที่จารึกได้เป็น พ.ศ. ๑๗๗๘ ซึ่งก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาถึงร้อยกว่าปี และก่อนศิลาจารึกพ่อขุนรามฯ ถึงห้าสิบปี และมีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งคือโองการแช่งน้ำ ซึ่งไม่ทราบปีที่แต่งแน่นอน ทราบแต่ว่ามีใช้แล้วในขณะตั้งกรุงศรีอยุธยา ผ่านการคัดลอกต่อ ๆ กันมาหลายทอด และธรรมเนียมแช่งน้ำนี้ สันนิษฐานว่าได้รับแบบอย่างมาจากเขมรที่มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่พระนคร (นครธม)

ที่ต้องอึ้งก็คือ ภาพสมุดข่อยที่หนังสือเอามาลงเป็นภาพประกอบนั้น แสดงลักษณะการเขียนเหมือนกับอักขรวิธีภาษาไทยในสมัยนี้แทบไม่มีผิดเพี้ยน จะมีแตกต่างก็แค่รายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น ส่วนลักษณะของภาษาที่ใช้นั้น เป็นภาษาแบบเดียวกับไทย-ลาวลุ่มน้ำโขงแล้ว แทนที่จะใช้ภาษาบาลี-สันสกฤต-เขมรเป็นหลักตามธรรมเนียมในคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

ถ้ากะประมาณว่า สมุดข่อยนั้นอยู่ไม่ทนเหมือนศิลาจารึก จึงหลงเหลือมาเป็นหลักฐานน้อย และอักขรวิธีที่อยู่ตัวแล้วในตอนนั้น แสดงว่าอักษรต้องผ่านการวิวัฒน์ก่อนหน้านั้นอีกเป็นเวลานานมาแล้ว!

แล้วลายสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงล่ะ? ก็น่าจะยังนับเป็นประดิษฐกรรมใหม่อยู่ครับ โดยมีบันทึกว่า พระร่วงเจ้าแห่งสุโขทัยได้มาเรียนวิชาจากครูที่ละโว้ แล้วคงได้ทรงศึกษาอักษรไทยไปจากละโว้ด้วย จึงทรงนำกลับไปปรับปรุงวิธีเขียนเสียใหม่ กลายเป็นลายสือไทย โดยได้แบบอย่างมาจาก "ขอม" (ซึ่งเป็นคนไทย) ที่ละโว้ และผสมลักษณะบางอย่างของอักษรมอญเข้าไปด้วย แล้วเพิ่มแนวคิดใหม่ของการเขียนทุกอย่างในบรรทัดเดียวยกเว้นวรรณยุกต์ กลายเป็นอักษรแรกของรัฐที่เรียกว่า "ไทย" อย่างเต็มตัว จากนั้น ลายสือไทยก็ได้แพร่หลายเข้าไปในล้านนา ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนกลายเป็นอักษรฝักขาม และแพร่เข้าไปที่ล้านช้าง กลายเป็นอักษรไทน้อย

เพียงแต่ว่า ในอาณาจักรอยุธยานั้น ลายสือไทยของพ่อขุนรามคงไม่ฮิต ก็เลยถูกเลิกใช้ไป แล้วก็ใช้อักษรไทยอยุธยากันต่อไป (นึกถึงความพยายามหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสร้าง "อักขรวิธีแบบใหม่" ขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ฮิตเหมือนกัน)

ถ้าว่าตามหลักฐานเหล่านี้ อักษรไทยก็มีอายุมากกว่า ๗๗๐ ปีขึ้นไป (ไม่ใช่ ๗๒๔ ปีตามหลักฐานเดิม) แต่ยังไม่มีหลักฐานที่เก่าพอจะสืบต่อไปได้ ว่าเริ่มมีเมื่อไร

ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่เอาไว้ท่องจำนะเออ ซิบอกให้

ป้ายกำกับ:

19 มิถุนายน 2550

ไซอิ๋ว (อีกที)

ผมเคย เขียนถึง ไซอิ๋วไปแล้วเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นยังไม่รู้จะเขียน blog เรื่องอะไร เลยขุดเอาเรื่องหนังสือที่เคยอ่านมาเขียน ตอนนั้นอ่านแค่เรื่องย่อและการตีปริศนาธรรม จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไปได้หนังสือไซอิ๋วทั้งเรื่องมาจากงานหนังสือ ตอนนี้เพิ่งได้ฤกษ์อ่าน โดยค่อย ๆ อ่านก่อนนอนคืนละนิดละหน่อย เทียบกับหนังสือตีปริศนาธรรมของอาจารย์เขมานันทะไปด้วย

ไซอิ๋ว จัดเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีน (ซ้องกั๋ง สามก๊ก ไซอิ๋ว ความฝันในหอแดง) เป็นงานวรรณกรรมที่มีมิติหลากหลายมาก กล่าวคือ:

  • เป็นเรื่องอิงประวัติศาสตร์ คือการเดินทางไปอาราธนาพระไตรปิฎกของพระถังซำจั๋ง หรือเหี้ยนจึง ในสมัยพระเจ้าถังไทจง ที่ประเทศอินเดีย คุณ ล. เสถียรสุต ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน ได้เขียนคำนิยมเกี่ยวกับไซอิ๋วไว้ ว่ามีการสอดแทรกสถานที่ต่าง ๆ ในบันทึกการเดินทางของพระถังซำจั๋งในประวัติศาสตร์จริงไว้พอประมาณ เช่น ภูเขาที่ร้อนจัดในเขาอัลไตตาด กลายมาเป็นภูเขาที่มีไฟลุกตลอดเวลา, บันทึกพระถังซำจั๋งเรื่องงานฉลองมาฆบูชาที่มีการจุดโคมไฟ ก็มาปรากฏในเรื่อง
  • เป็นมหากาพย์ บรรยายให้เป็นการเดินทางผจญปีศาจ ด้วยการช่วยเหลือของเทพยดาและพระโพธิสัตว์ จนลุล่วงถึงไซที มิตินี้ ทั้งเน้นความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของพระถังซำจั๋ง ทั้งบอกเล่าความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเทพเจ้าต่าง ๆ รวมถึงพระโพธิสัตว์และพระพุทธตามคติจีนด้วย
  • เป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับเยาวชน เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง กลายเป็นต้นแบบของเรื่องแต่งอีกหลายเรื่อง กับความถนัดที่ต่างกันในทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ โดยเฉพาะเห้งเจียหรือซึงหงอคงนั้น กลายเป็นต้นแบบของตัวเอกการ์ตูนหลายเรื่องทีเดียว
  • เป็นบันทึกวัฒนธรรมจีน แม้เรื่องหลักจะเป็นพุทธศาสนา แต่ก็ได้แฝงคติของลัทธิเต๋าและธรรมเนียมจีนไว้ประปราย รวมทั้งสุภาษิตจีนที่ตัวละครใช้พูด
  • เป็นเรื่องแฝงปริศนาธรรมทางพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งต้องขอบคุณอาจารย์เขมานันทะ ที่ได้ขบคิดไขปริศนาธรรมออกมาให้ศึกษา

น้อยคนที่จะไม่รู้จักไซอิ๋ว มีสมัยหนึ่งที่มีการทำเป็นซีรีส์ออกฉายทางทีวีหลายซีรีส์ เด็กติดกันงอมแงม แต่เท่าที่ผมจำได้ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉายจนถึงตอนจบเลย หรือผมเลิกติดตามเองก็ไม่รู้ ทำเป็นหนังโรงก็ยังเคย โดยตอนที่ดังที่สุดน่าจะเป็นตอนพัดวิเศษ ที่ใช้ดับภูเขาที่ไฟลุกท่วมตลอดเวลา ถ้าไม่นับตอนอาละวาดบนสวรรค์ตอนต้นเรื่อง

ไซอิ๋วสนุกก็จริง แต่เด็กมักไม่สนใจรายละเอียด เพราะเป็นการเข้าเมืองนั้นเมืองนี้ ปราบปีศาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สำหรับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้สนใจระนาบจิตวิญญาณ การอ่านไปพร้อมกับเฉลยปริศนาธรรม จะทำให้การเข้าเมืองแต่ละเมืองนั้น ไม่มีอะไรซ้ำกันเลย

บางที ท่านกวี โหงวเส่งอึง อาจเกรงว่าจะไม่มีใครมองเห็นระนาบจิตวิญญาณก็ได้ จึงได้ทิ้งรูโหว่ในเรื่องไว้ เริ่มจากความคลาดเคลื่อนของเวลาระหว่างพุทธกาลกับสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งห่างกันกว่าพันปี แต่ในเรื่อง พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ โดยประทับที่วัดลุยอิมยี่ บนเขาเล่งซัว (อาจจะมีนัยถึงพระคันธกุฎีที่เขาคิชกูฎ?) จนนายวรรณผู้ตรวจสำนวนคิดว่านายติ่นแปลมั่ว จะแก้นายติ่นก็ไม่ยอม (ขอบคุณนายติ่นที่ไม่ยอม) จึงได้เขียนหมายเหตุไว้ตอนท้ายว่าเป็นเรื่อง "แต่อยู่ข้างติดตลกหัวอกลิง เท็จกับจริงปนกันทั้งนั้นเอย" แต่จะว่าไป ก็คิดอีกแนวหนึ่งได้ ว่าพุทธฝ่ายมหายานนั้น เขาถือว่าสัมโภคกายของพระพุทธเจ้ายังคงสถิตอยู่ที่ดินแดนสุขาวดี ซึ่งต่างจากคติเถรวาทของเรา ที่ถือว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ไม่เกิดอีกในภพภูมิใด ๆ

นอกจากนี้ ในหลายตอน คำพูดโต้ตอบระหว่างตัวละครก็ดูแฝงนัยบางอย่างนอกเหนือเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อก่อนจะถึงวัดลุยอิมยี่ ต้องข้ามน้ำที่เชี่ยวกรากด้วยเรือท้องโหว่นั้น คำพูดแปลกประหลาดมาก และเมื่อข้ามน้ำมาแล้ว พระถังและศิษย์ทั้งหมดก็ละอุปาทานขันธ์ได้ จุดนี้น่าจะเป็นการบอกใบ้อย่างชัดเจน ว่าโครงเรื่องทั้งหมดน่าจะแฝงอะไรไว้

แต่การถอดปริศนาทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณวรรณผู้ตรวจสำนวนแปลเอง เคยแนะว่า คณะเดินทางสี่คนอาจเหมายถึงอิทธิบาทสี่ ส่วน อ.เขมานันทะ ก็เขียนไว้ว่า เดิมท่านที่ดูที่นิสัย เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง แล้วตีความออกมาเป็น ราคะ โทสะ โมหะ จนกระทั่งครูของท่านได้ชี้ว่า แท้ที่จริงน่าจะเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝน พระถังต้องอาศัยสามสิ่งนี้ปราบปีศาจ และฝึกไตรสิกขานี้ไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่เขตโลกุตรธรรม

หลังจากได้แนวทางนี้แล้ว ท่านจึงได้ขบคิดปริศนาเป็นตอน ๆ โดยเค้าโครงหลักของบุคลาธิษฐานคือ:

  • เห้งเจีย หรือ ซึงหงอคง คือปัญญา เปรียบดุจลิงที่ซุกซนว่องไว เมื่อยังเป็นมิจฉาทิฐิสามารถก้าวร้าวไปได้ทั้งสวรรค์บาดาล แต่ปัญญาชนิดนี้ เป็นได้เพียงเป๊กเบ๊อุน หรือนายกองเลี้ยงม้าบนสวรรค์เท่านั้น แม้จะมีอหังการ์ (แบบที่ฝรั่งเรียกว่า sophomoric) เรียกตัวเองว่าซีเทียนไต้เซียก็ตาม ต่อเมื่อถูกพระยูไลปราบพยศให้เข้าทางสัมมาทิฐิแล้ว จึงกลายเป็นกำลังสำคัญของการบรรลุไซทีของพระถัง
  • โป๊ยก่าย (ศีลแปด) หรือ ตือหงอเหนง คือศีล เมื่อยังเป็นมิจฉาทิฐินั้น ทุศีลทุกเรื่อง ตะกละมูมมาม มักมากในกามราคะ โป้ปดมดเท็จ เมื่อได้เข้าทางสัมมาทิฐิแล้ว จึงได้เป็นกำลังสำหรับปราบปีศาจทางน้ำที่เห้งเจียไม่ถนัด
  • ซัวเจ๋ง หรือ ซัวหงอเจ๋ง คือสมาธิ เมื่อยังเป็นมิจฉาทิฐินั้น กบดานอยู่ใต้น้ำ คอยทำร้ายผู้คน ต่อเมื่อพบพระถัง จึงได้ช่วยระวังหลังขบวน หาบสัมภาระ และคอยระวังรักษาพระถังเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองออกไปสู้กับปีศาจ รวมทั้งเป็นกำลังต่อสู้ปีศาจในน้ำด้วย
  • พระถังซำจั๋ง คือขันติ ซึ่งเป็นธรรมสำหรับรักษาอุดมการณ์ ควบคุมให้การเดินทางเป็นไปอย่างเรียบร้อย
  • ม้าขาว ซึ่งเป็นมังกรแปลงเป็นม้า คือวิริยะ (ความเพียร) มาแทนม้าที่พระเจ้าถังไทจงพระราชทาน หมายถึงการแทนที่วิริยะที่เกิดจากศรัทธา มาเป็นวิริยะที่เกิดจากปัญญา
  • พระเจ้าถังไทจง คือศรัทธา อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการเดินทาง
  • เมืองบาดาล หมายถึงการกบดานของกิเลสที่ฝังแน่นเป็นนิสัย ซึ่งเมื่อปีศาจลงน้ำ เห้งเจียซึ่งเป็นปัญญาที่ยังไม่ได้ฝึก จะใช้ละกิเลสชนิดนี้ไม่ได้ จำต้องใช้โป๊ยก่ายซัวเจ๋ง คือศีลและสมาธิ ในการละนิสัยเหล่านั้น
  • พญาเล่งอ๋อง จึงหมายถึงธรรมที่เกี่ยวกับนิสัยและการฝึกนิสัย และเป็นญาติกับซัวเจ๋ง (สมาธิ) เช่น อิทธิบาทสี่ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
  • พระโพธิสัตว์กวนอิม หมายถึงเมตตา กิเลสบางอย่างสามารถละได้ด้วยเมตตา อุปมาเหมือนเห้งเจียเมื่อสิ้นหนทางปราบปิศาจบางตัว ก็ต้องเหาะไปนิมนต์พระโพธิสัตว์มาช่วย
  • พรหมท้ายเสียงเล่ากุน ซึ่งตามตัวอักษรหมายถึงเหลาจื๊อ แต่ตามบุคลาธิษฐานหมายถึงอุเบกขา
  • วัดลุยอิมยี่ ที่ประทับของพระยูไลพุทธะ หมายถึงพระนิพพาน อันเป็นจุดหมายของการเดินทาง

ได้เค้าโครงแบบนี้ แล้วพบปีศาจชนิดต่าง ๆ จะไม่พบว่าซ้ำกันเลย แต่ละตอนคือฉากหนึ่งในชีวิตนักปฏิบัติธรรมทั้งนั้น ดังที่ท่านเขมานันทะท่านว่า:

มิใช่พระถังผจญ ผีบนเส้นทางสายไหม
แต่บนหนทางสายใจ จึงได้พบพระพุทธะ
ลึกนักชักฉงนคนว่า แต่งบ้าห้าร้อยสวะ
พระถังพร้อมทั้งคณะ เงอะงะในใจเจ้าเอง

ปีศาจบางตน ถูกฆ่าตาย แต่บางตน ถูกขอชีวิตไว้ แล้วไปอยู่รับใช้พระโพธิสัตว์ ก็เพราะกิเลสบางชนิดสมควรต้องกำจัดให้หมดไป เช่น นิวรณ์ 5 แต่บางชนิดกำจัดไม่ได้ แต่ต้องทดใช้ไปในทางธรรม เช่น มิจฉาวาจา จะให้ฆ่าโดยหยุดพูดก็ไม่ได้ แต่ต้องทดใช้ไปในทางสัมมาวาจาแทน การเข่นฆ่าปีศาจของเห้งเจียตามนัยของบุคลาธิษฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องของปาณาติบาต การที่พระถังห้ามไว้ ก็ไม่ใช่เมตตาธรรม แต่เป็นความอาลัยกิเลสของขันติ ที่ยังยึดมั่นบางอย่างไว้ แม้ปัญญาจะรู้เท่าทัน แล้วขันติก็ทะเลาะกับปัญญา ไล่หนีไป หันไปใช้ศีลนำทาง จนสุดท้ายก็เข้ารกเข้าพงไปตกหล่มปีศาจ เหล่านี้คือการต่อสู้ในจิตใจของผู้ปฏิบัติเอง ที่บางครั้งก็ยึดมั่นในหนทางบางอย่างมากเกินไป สุดท้าย ศีลก็ต้องมีปัญญากำกับด้วย จึงจะไปรอด

ในช่วงแรกของการเดินทาง พระถังจะโปรดปรานโป๊ยก่าย ไม่ชอบความโหดร้ายของเห้งเจีย ต่อเมื่อเข้าใกล้ไซที พระถังจึงเชื่อใจเห้งเจียมากขึ้น

เรื่องในแนวมหากาพย์มักจะเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นมหากาพย์อิเลียด โอดีสซีย์ มหาภารตะ รามายณะ หรือไซอิ๋ว คือแทนการเดินทางผจญภัยของวีรบุรุษด้วยการต่อสู้ทางนามธรรม ผู้ที่เสพเพียงอรรถรสตัวอักษร ก็จะได้ความเพลิดเพลิน หรืออาจได้จิตใจฮึกเหิมในอุดมการณ์ หรือบางคนอาจจะมองด้วยแว่นวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเรื่องโกหกพกลม เป็นความงมงายของคนสมัยก่อน แต่สำหรับผู้ที่เสพธรรมรสในมหากาพย์ด้วยแล้ว กลับจะเห็นสิ่งเดียวกันนั้นเป็นรหัสอันลึกล้ำ เทพนิยายจะเป็นเรื่องงมงายหรือเป็นรหัสธรรมก็ต่างกันตรงนี้เอง

ป้ายกำกับ: ,

18 เมษายน 2550

The Three Kingdoms

ไม่ได้เขียนเรื่องหนังสือเสียนาน ความจริงก็เป็นเรื่องที่ว่าจะเขียนต่อจากเรื่อง คนจีนพบทวีปอเมริกา เมื่อปลายปีกลายน่ะ แต่พอดีมี เรื่องอื้อฉาวของ MICT มาขัดจังหวะเสียก่อน แล้วก็เลยสาละวนกับกิจกรรมโอเพนซอร์สที่ต่อเนื่องจากเหตุการณ์มาตลอด ตามด้วยฤดูรับจ้าง จนกระทั่งมาเริงร่ากับงานพัฒนาได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็กลับมาขีดเขียนเรื่องนี้ส่งท้ายวันหยุดเสียหน่อยน่ะ

"อ่านสามก๊กสามจบ คบไม่ได้" เป็นวลีฮิตติดปากคนไทยมาตลอด เกี่ยวกับหนึ่งในสี่วรรณกรรมชิ้นเอกของจีนเล่มนี้ แต่นักตำราบริหารมักจะแนะนำให้อ่าน ถึงกับบอกว่า "ไม่ได้อ่านสามก๊ก อย่าพึงคิดการใหญ่"

ใครถามผม ผมก็ตอบเล่น ๆ ว่าผมอ่านแค่จบเดียวครับ คบได้อยู่ ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง ฉบับวณิพก ฉบับสังข์ พัทธโนทัย อย่างละจบเดียวจริง ๆ นี่ถ้าไม่กลัวจะเสียเวลาอาจจะหาฉบับวรรณไว พัทธโนทัย มาอ่านเพิ่มอีก แต่ยังหรอก ผมยังไม่กระหายขนาดนั้น

ที่อยากจะเขียนก็คือ ผมเห็นแย้งว่า "อ่านสามก๊กจบเดียว คบไม่ได้" มากกว่า

ทำไมน่ะหรือ? ผมเห็นว่าคนที่อ่านสามก๊กจำนวนมาก จะเห็นมังกรหลับขงเบ้งเป็นฮีโร่ ถ้าอ่านแค่รอบเดียวโดยซึมซับแต่อรรถรสของนิยายอย่างเดียว ก็เสี่ยงที่จะเลียนแบบพฤติกรรมของขงเบ้งในชีวิตประจำวัน เป็นอย่างนี้มากเข้า เราก็จะพบแต่คนสับปลับปลิ้นปล้อนในสังคม โดยคิดไปว่านั่นคือความฉลาดรู้เท่าทันคน แล้วสังคมก็จะเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ

ใครจะเห็นขงเบ้งเป็นฮีโร่ก็ตามแต่ ผมรู้สึกตั้งแต่อ่านรอบแรกเลย ว่าถ้าเจอคนอย่างนี้ในชีวิตจริง จะหลีกลี้ให้ไกลสามร้อยโยชน์ คนที่คิดแต่จะเอาเปรียบคนอื่น เอาชนะคนอื่นด้วยความฉ้อฉล โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมแบบนี้ ถึงจะอ้างตามแบบนักการเมืองว่าเพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น ค้ำบัลลังก์ฮ่องเต้อย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ยังมีวีรบุรุษของจีนอีกมากมาย ที่ค้ำจุนราชบัลลังก์ได้ด้วยคุณธรรม

ผมมีอคติกับขงเบ้งอยู่เป็นทุนอย่างนี้อยู่แล้ว พอมาเจอหนังสือวิจารณ์ในแนวของ "เล่าชวนหัว" เลยรู้สึกถูกคอ เขา "เปิดหน้ากากขงเบ้ง" ได้ละเอียดลออดีแท้ ผมอ่านงานของเขานานมาแล้วแหละ แต่แล้วก็ห่างเหินจากสามก๊กไปนาน จนได้กลับมาจับเล่ม "เทิดศักดิ์ศรีจูล่ง" ที่เขาเขียน ว่าเขาไม่ได้มองทุกคนในสามก๊กว่าเลวร้ายไปเสียทั้งหมด คนที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างอย่างจูล่งก็ยังมี

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่พึงระลึกไว้ตลอดเวลาด้วย ว่าสามก๊กฉบับของล่อกวนตงที่เราอ่านกันนั้น เป็น 三國演義 [แต้จิ๋ว: ซัมกกอิ่งหงี; จีนกลาง: ซันกว๋อเหยียนอี้] ที่ต่อเติมเสริมแต่งเอาไว้เล่นงิ้วเท่านั้น จึงมีการสร้างภาพขาวกับดำชัดเจน พร้อมตอกไข่ ใส่ดราม่าให้ชวนติดตาม กลยุทธ์บางอย่างก็ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงจินตนาการของกวีที่อาจไม่ได้รู้พิชัยสงครามลึกซึ้ง เป็นแต่เขียนเอามัน การจะเอานิยายมาประยุกต์ใช้ จึงต้องใช้วิจารณญาณพอสมควร

หากจะหาบันทึกฉบับพงศาวดารสามก๊ก หรือ 三國志 [แต้จิ๋ว: ซัมกกจี่; จีนกลาง: ซันกว๋อจื้อ] มาอ่าน คงหาอ่านได้ยาก อย่างดีก็อยู่ในคำอธิบายเปรียบเทียบในหนังสือต่าง ๆ ระหว่างเรื่องแต่งกับเรื่องจริง เช่น การสาบานในสวนท้อที่ไม่มีจริง นางเตียวเสี้ยนที่ไม่เคยมีตัวตน ข้อเท็จจริงระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้หลายเรื่อง ฯลฯ แต่เร็ว ๆ นี้ ไปเจอหนังสือของ "เล่าชวนหัว" คนเดิม ที่เอาพงศาวดารมาเรียบเรียงให้อ่านแบบย่อ พร้อมทั้งให้ข้อคิดถึงมุมมองที่ควรมองต่อเรื่องสามก๊ก ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมาก

หากใครอ่านสามก๊กแบบผิวเผิน แล้วเอามาประยุกต์ใช้ทันทีแบบอินกับนิยายเกินไป ระวังไม่มีคนคบนะครับ พยายามอ่านแบบพินิจพิเคราะห์ เทียบวัดกับบรรทัดฐานของคุณธรรมด้วย เพราะ "อ่านสามก๊กจบเดียว คบไม่ได้" ครับ :-)

blog เก่า (เก็บ) ที่เกี่ยวข้อง: อ่านรามเกียรติ์กัน ตอนสมัยอ่านตำราบริหารฉบับวรรณคดีไทย แถมพกด้วย ไซอิ๋ว: รามายณะตำรับจีน?

ป้ายกำกับ:

hacker emblem