Theppitak's blog

My personal blog.

20 กันยายน 2554

Yangon

หลังจาก blog ที่แล้ว ได้เล่าถึงการไปเยือนย่างกุ้งเพื่อบรรยายเกี่ยวกับ Debian ว่าจะเขียนต่อเรื่องพม่าโดยทั่วไป แต่ก็ติดเรื่อง แปล GNOME 3.2 ก่อน tarballs due ของ RC อยู่ เพิ่งจะมีเวลาเขียนต่อก็ตอนนี้เอง

พม่าโดยทั่วไป ถ้าไม่นับเรื่องภาษาแล้ว ก็ถือได้ว่ามีอะไรคล้ายกับไทยพอสมควร

ผู้คน

ผู้ชายชาวพม่าส่วนใหญ่ยังคงนุ่งโสร่งกันเป็นธรรมดา แม้ในโอกาสที่เป็นทางการ สิ่งที่เป็นสมัยใหม่คงเป็นเสื้อเชิ้ต แต่ยังไม่พบการผูกเนคไทร่วมกับการนุ่งโสร่งแต่อย่างใด แต่ก็มีผู้ชายบางส่วนที่นุ่งกางเกงตามแบบตะวันตกบ้างเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นคนสมัยใหม่

แต่เมื่อผ่านสวนสาธารณะ คนที่ออกวิ่งจ๊อกกิงทุกคนนุ่งกางเกงกีฬานะครับ ไม่มีใครนุ่งโสร่งวิ่ง ;-)

ส่วนผู้หญิง จะนุ่งซิ่นยาวกรอมเท้า เป็นภาพที่คล้ายกับที่ลาว แต่ต่างกันที่ลวดลายของซิ่นที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าแบบไหนพม่าแบบไหนลาว ผู้หญิงบางคนนุ่งซิ่นที่ถักทอลวดลายสวยงามมาก ดูจะบ่งบอกฐานะของบุคคล

และเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสาวพม่าคือการไว้ผมยาวโดยผูกรวบเป็นหางม้า ความยาวของผมเป็นที่สะดุดตามาก บางคนยาวถึงสะโพก แต่ที่ยาวที่สุดที่ผมเห็นนั้น ยาวถึงครึ่งขาท่อนบนทีเดียว

แต่ถ้าเป็นหญิงสูงอายุ จะเกล้าผมเป็นมวยแล้วปักปิ่น

และที่สะดุดตาอีกอย่าง คือการประแป้งชนิดหนึ่งที่แก้มของผู้หญิงทุกนาง โดยจะเห็นแป้งตั้งแต่เช้าจรดเย็น ลักษณะคล้ายการประดินสอพองของไทย แต่แป้งจะสีออกเขียวอ่อน จากความรู้ที่ได้จากชาวพม่า เป็นแป้งที่ทำจากหัวของพืชชนิดหนึ่ง

ชาวพม่ายังคงเคี้ยวหมากกันโดยทั่วไป เดินไปตามท้องถนนจะเห็นรอยน้ำหมากบนทางเท้าอยู่ทั่วไป และจะได้กลิ่นน้ำหมากจาง ๆ อยู่ตลอด ชวนให้นึกถึงบรรยากาศชนบทไทยสมัยก่อนที่ผมเคยได้สัมผัสตอนเด็ก

บ้านเมือง

ย่านที่ผมพักในย่างกุ้งนั้น อยู่ใกล้ใจกลางเมืองซึ่งเป็นเมืองเก่าตั้งแต่ยุคอาณานิคม ถนนถูกซอยเป็นตารางถี่ยิบ บ้านเรือนเป็นตึกแถวอายุมากแล้ว ไม่ค่อยจะมีไฟถนน กลางคืนอาศัยไฟจากบ้านเรือนเป็นหลัก แต่ในส่วนที่ติดถนนใหญ่จะมีร้านรวงขายของชำ มือถือ หรือ accessory ของไอทีอยู่หนาแน่น

ศาสนสถานของหลากหลายศาสนาก็มีแทรกอยู่ทั่วไป มีมัสยิดมุสลิม ศาลเจ้าแบบพุทธ หิ้งบูชาที่โคนต้นไม้แบบฮินดู โรงพยาบาลฟรีสำหรับผู้อนาถาของมุสลิม ส่วนโบสถ์คริสต์ที่เห็นจะไปตั้งบนถนนใหญ่

บนถนน ที่พม่าจะขับรถเลนขวา แต่น่าแปลกใจว่ารถเกือบทั้งหมดมีที่นั่งคนขับอยู่ทางขวา เวลานั่งไปในรถแล้วยิ่งเพิ่มความหวาดเสียวเป็นสองเท่า จากเดิมที่เราไม่คุ้นเลนขวาอยู่แล้ว ยังเห็นคนขับอยู่ด้านชิดริมถนน บางครั้งเวลาจะเลี้ยวแอบเห็นคนขับต้องชะโงกหน้าดูรถจากทางแยกก่อนเลี้ยว และเวลาจะขึ้นรถต้องไปเปิดประตูทางฝั่งกลางถนน

รถยนต์ส่วนใหญ่ที่พม่ามีสภาพเก่ามาก เข้าไปนั่งจะได้กลิ่นอับของรถเก่าแทบทุกคัน แท็กซี่บางคันไม่มีที่ไขกระจก เวลาฝนตกคนขับจะหยิบมือหมุนอันหนึ่งมาสวมเพื่อหมุน แล้วเวียนต่อให้ผู้โดยสารไขทีละประตูจนครบ ฟังแล้วอาจจะแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแท็กซี่ที่เมืองไทยไม่ค่อยมีการเปิดปิดกระจก ก็เพราะแท็กซี่เมืองไทยติดแอร์ แต่แท็กซี่พม่าไม่มีแอร์ อยู่ย่างกุ้งมาอาทิตย์หนึ่ง เพิ่งจะเห็นแท็กซี่ติดแอร์แค่คันเดียวเท่านั้น ขับรถไปพอคนขับเกิดอยากจะคายหมาก ก็ต้องรอจังหวะติดไฟแดง เปิดประตูออกไปบ้วนลงพื้นถนน บ้วนทางหน้าต่างไม่ได้เพราะปิดกระจกอยู่

อ้อ แต่เห็นอย่างนี้ ไฟจราจรที่พม่าเป็น LED มีการนับถอยหลังทุกสี่แยกนะครับ และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ผมเคยไปเยือน ขณะนั้นสี่แยกในเมืองไทยยังไม่มีที่ไหนมีเลย

เมื่อเข้าสู่ถนนเล็ก จะพบสามล้อถีบให้บริการ ลักษณะไม่เหมือนสามล้อถีบบ้านเรา คือคนขับจะอยู่ทางซ้าย ที่นั่งผู้โดยสารจะพ่วงอยู่ทางขวา (นี่สิถึงจะถูกหลัก) โดยเป็นที่นั่งเล็ก ๆ แคบ ๆ สองที่หันไปด้านหน้ากับด้านหลัง เอาพนักชนกัน ก็จะนั่งได้สองคนแบบห้อยเท้า ไม่มีประทุนบังแดดบังฝน ถ้าอยากมีร่มก็กางร่มถือเอาเอง

อาหารการกิน

อาหารของพม่านับว่าคุ้นลิ้นคนไทยพอสมควร โดยมีอาหารคล้ายไทย บางจานคล้ายที่อีสาน เช่น แกงหน่อไม้ใส่ใบย่านาง นอกจากนี้ก็มีอาหารสไตล์จีนและอินเดียบ้าง ร้านอาหารที่มีให้เห็นทั่วไปจะเป็นอาหารไทย (ข้าวผัด ผัดกะเพรา ผัดคะน้า ต้มยำกุ้ง ฯลฯ) อาหารไทใหญ่ (ก๋วยเตี๋ยวฉาน) แล้วก็อาหารมุสลิม (ข้าวหมกไก่) มีร้านอาหารจีนที่ขึ้นชื่อคือ Golden Duck (เป็ดย่าง อาหารโต๊ะจีน)

รสชาติอาหาร มีอาหารรสจัดบ้าง แต่เท่าที่ได้ชิมมายังไม่มีจานไหนเผ็ดเกินลิ้นผม (ผมเป็นคนกินเผ็ดได้น้อยมากตามมาตรฐานคนไทย) อาจจะยังไม่เจอของจริงก็เป็นได้ ที่ร้านอาหารพม่า จะเสิร์ฟซุปให้ซดคล่องคอฟรี น้ำดื่มฟรี และถ้าครบเครื่องจริง ๆ จะมีน้ำตาลปึก (ภาษาพม่าเรียก ชากรี) เป็นชิ้น ๆ ให้กินฟรีหลังอาหารด้วย

ของหวาน ที่ได้ชิมสองอย่างรสชาติคล้ายของไทยมาก อย่างแรกคล้ายซ่าหริ่ม แต่จะมีเครื่องเป็นขนุนและไอศกรีมหนึ่งก้อนด้วย ใส่กะทิน้ำเชื่อม เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง ผมจำชื่อเรียกไม่ได้เสียแล้ว ส่วนอย่างที่สอง เรียกว่า "มอนต์เลซอง" (Montlasoung - မုန့်လေသင်း) รสชาตินึกถึงปลากริมไข่เต่าที่ไม่มีไข่เต่าเลย แล้วเติมมะพร้าวขูดลงไปลอยปนอยู่กับชิ้นปลากริมยาว ๆ รสชาติคล้ายกันมาก

ขนมที่พม่าหลายชิ้นที่ได้ชิม จะหนักหวานแต่ไม่หวานจัด หลายอย่างมีกลิ่นนมข้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าใส่นมข้นตรง ๆ เลย หรือเป็นส่วนผสมที่คล้ายนมข้น แล้วก็จะมีรสหวานแบบน้ำตาลปึกปนอยู่ด้วยเสมอ ๆ อ้อ.. ที่พม่ามีขนมครกขายตามข้างทาง เหมือนขนมครกทรงเครื่องของไทยมาก ๆ

และที่พม่า ขนมเช้าที่คนไทยเรียกติดปากแบบผิดเพี้ยนว่า ปาท่องโก๋ นั้น ที่พม่าเรียกว่า E Kya Kway (အီကြာ‌ကွေး - อีจาเกฺว) หรือตามภาษาแต้จิ๋วว่า อิ่วจาก้วย (油炸粿) นั่นเอง

อีกคำที่มีประโยชน์เวลาไปเห็นเมนูอาหาร คือ Kailan หมายถึงผักคะน้า

ภาษา

ภาษาพม่าอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต ซึ่งไม่มีความใกล้เคียงกับไทยเลย แต่ก็มีคำหลายคำที่อาจจะฟังกันรู้เรื่อง โดยเฉพาะคำบาลี-สันสกฤต แต่ต้องทำความเข้าใจเรื่องวิธีออกเสียงสักหน่อย

เสียงที่แปลกที่สุดคือเสียง ร หรือ r ภาษาพม่าจะออกเป็น ย ยกเว้นในคำยืมจากภาษาอื่นจึงจะออกเสียงเป็น ร ดังนั้น ชื่อเมือง Rangoon จึงออกเสียงว่า ย่างกุ้ง ไม่ใช่ ร่างกุ้ง ตรงนี้ คุยกับ น้องชาย ซึ่งชอบค้นคว้าเรื่องภาษาเหมือนกันก็ได้ข้อสังเกตว่า เสียง ร น่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับภูมิภาคนี้ เพราะภาษาลาวแท้ก็ไม่มีเสียง ร แต่จะออกเสียงเป็น ฮ เช่น เรือน (ເຮືອນ) ออกเสียงเป็น เฮือน จนกระทั่งมีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศ จึงได้มีอักษร ร ระคัง (ຣ ຣະຄັງ) ขึ้นมาแทนเสียง ร หรือถ้าไปดูภาษาจีนก็ไม่มีเสียง ร เช่นกัน ไม่ว่าจะจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง หรือกระทั่งจีนกลาง เสียง r ในพินอินก็จะออกเสียงเป็น ย เหมือนพม่า (ที่มีบางตำราออกเสียงเป็น ร ห่อลิ้นนั้น น่าจะเป็นเสียงเพี้ยนมากกว่า) จะมีก็แต่ภาษาเขมรเท่านั้น ที่รัวลิ้นเสียง ร ชัดถ้อยชัดคำ เมื่อภาษาไทยกลางรับภาษาเขมรเข้ามาปนกับภาษาไทยดั้งเดิม จึงได้เกิดการรัวลิ้นของเสียง ร ตามเขมร แต่ถ้าเป็นภาษาไทยถิ่นอื่นโดยทั่วไป จะไม่มีเสียง ร รัวลิ้นนี้

เสียงถัดมาที่เจอบ่อย คือ กฺร (ကြ) หรือ กฺย (ကျ) ซึ่งจะ romanize เป็น ky ทั้งคู่ แต่ออกเสียงเป็น จ เช่น ชื่อ Aung San Suu Kyi (အောင်ဆန်းစုကြည် - อองฉันจุกฺรี) จะออกเสียงเป็น อองชันสุจี (ฉ ออกเสียงเป็น sh, จ ออกเสียงเป็น ซ) ตรงนี้น่าจะเป็นหลักการเดียวกับอักษรควบไม่แท้ ทฺร = ซ ที่เรารับมาจากภาษาเขมร

เสียงถัดมาคือเสียง ส (သ) พม่าจะออกเป็น th กัดลิ้นแบบในคำว่า three ในภาษาอังกฤษ และจะ romanize เป็น th เช่น ชื่อในภาษาบาลี สุระ พม่าจะเขียนเป็น Thura ออกเสียงว่า ธุ่ยะ

อักษรพม่า มาจากอักษรมอญซึ่งเป็นต้นแบบของอักษรธรรมล้านนาและธรรมอีสานเช่นกัน ดังนั้นจึงพอจะเห็นเค้าโครงของตัวอักษรที่คล้ายกันได้ แต่เนื่องจากภาษาพม่าเป็นคนละตระกูลกับภาษาตระกูลไท จึงมีหน่วยเสียงที่แตกต่างกัน และไม่สามารถอ่านสระพม่าได้ง่าย ๆ ด้วยการเทียบกับอักขรวิธีไทยแม้จะแกะอักษรออก แต่ถ้าเป็นการเขียนภาษาบาลี-สันสกฤตล่ะก็ น่าจะพออ่านได้

ไอทีทั่วไป

ที่พม่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตค่อนข้างทุลักทุเล ปัญหาที่พบ เช่น:

  • ไฟตกบ่อย แม้แต่ในโรงแรมชั้นนำ บ้านเรือนทั่วไปจะมีไดนาโมสำหรับปั่นไฟเวลาไฟดับเสมอ วันหนึ่ง ๆ ดับวันละหลายครั้ง ถ้าเป็นสำนักงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ล่ะก็ UPS ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลย
  • อินเทอร์เน็ตไม่ได้มีทั่วไป จะมีเฉพาะในร้านอินเทอร์เน็ตหรือตามสำนักงานเท่านั้น และแม้จะมี hotspot ในบางที่ แต่การเข้าใช้จะซับซ้อนมาก ต้องผ่านพร็อกซีแล้วไปเจอ captive portal อีกชั้น หลังจากต่อเน็ตได้แล้ว ผมแทบไม่กล้าปิดเครื่องเลย
  • มี ISP เพียงสองเจ้า ของรัฐเจ้าหนึ่ง และ subsidise จากรัฐอีกเจ้าหนึ่ง สรุปแล้วก็เสมือนมีเจ้าเดียวนั่นเอง
  • แบนด์วิดท์สูงสุดคือ 2 Mbps แต่โดยปกติจะช้ากว่านี้
  • โดยปกติ พอร์ตที่จะเปิดให้ใช้มีเพียง http และ https นอกนั้นบล็อคหมด ทำให้ไม่สามารถใช้ ssh ในการ commit กับ VCS ได้เลย นับว่าโหดพอ ๆ กับ สวทช. บ้านเราทีเดียว!
  • แม้เมื่อไปตั้งเซิร์ฟเวอร์ที่ศูนย์ข้อมูล ก็สามารถขอให้เปิด ssh ได้แค่ในประเทศเท่านั้น กล่าวคือ ไม่สามารถ remote เข้าไปดูแลเครื่องจากต่างประเทศได้เลย ต้องให้คนในประเทศทำล้วน ๆ และคนในประเทศก็ ssh ออกนอกประเทศไม่ได้ด้วย
  • อินเทอร์เน็ตมีการ filter อย่างเข้มงวด เว็บหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะถูกบล็อคหมด รวมถึงหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยอย่าง Bangkok Post หรือ Nation ด้วย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ารักของพม่าก็คือ มีเต้าเสียบไฟที่เกือบจะเป็น universal อยู่ทั่วไป เพราะมาตรฐานเต้าเสียบของพม่าจะใช้ปลั๊กสามขาอันเบ้อเริ่มแบบอังกฤษ แต่เนื่องจากมีการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านหลายแหล่ง ทั้งไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ จึงจำเป็นต้องทำเต้าเสียบให้รองรับปลั๊กแบบต่าง ๆ จึงสามารถพบเต้าเสียบที่เกือบจะ universal ได้ตามผนังทั่วไป

ที่พม่า โทรศัพท์แอนดรอยด์ที่แพร่หลายที่สุด คือ Huawei เจ้าภาพใจดีให้ผมยืมใช้สำหรับติดต่อระหว่างที่อยู่พม่า ใช้การได้ดีทีเดียว อย่างน้อย แอนดรอยด์ก็รุ่นใหม่กว่า HTC ของผมเยอะ ^_^'

เก็บภาพที่ย่างกุ้งมานิดหน่อยครับ เชิญชมได้

สุดท้าย ต้องขอขอบคุณคุณหง่วยตุน (Ngwe Tun) เจ้าภาพผู้แสนอารี ที่คอยดูแลผมอย่างดีระหว่างอยู่ที่พม่า รวมทั้งคอยตอบข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับพม่าให้กับผมอย่างไม่รู้เบื่อ

ป้ายกำกับ: , ,

22 กุมภาพันธ์ 2552

Pegu

เมื่อปีกลาย ผมได้ blog ไว้เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์พม่าที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องผู้ชนะสิบทิศ โดยค้างเติ่งไว้แต่ตอนแรก สรุปถึงเรื่องราวเพียงคร่าว ๆ ของศูนย์อำนาจต่าง ๆ ของดินแดนพม่า และการเปลี่ยนแปลงในยุคนั้น ส่วนตอนที่สองนั้น เขียนค้างไว้ยังไม่เสร็จ แต่แล้วก็สูญหายไปกับฮาร์ดดิสก์ที่พังไป ทีแรกว่าจะเลิกเขียนไปเลย แต่ก็ไปเจอ blog ของคุณ angeduriz เกี่ยวกับ ตะเลง มอญ รามัญ แล้วก็ รายงานของเธอ เกี่ยวกับเรื่องประวัติของมอญในยุคเริ่มต้น (เป็นภาษาฝรั่งเศส ถ้าคนไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสอย่างผมจะพยายามอ่าน ก็คงอ่านจาก google translator) ทำให้เกิดสนใจอยากหยิบมาเขียนใหม่ รายละเอียดคงไม่มากเท่าฉบับร่างเดิมที่เขียนตอนที่ยังสดใหม่อยู่ แต่ก็อาศัยโน้ตย่อที่จดไว้ในกระดาษมาเป็นโครงได้

รายงานของคุณ angeduriz นั้น เกี่ยวกับเรื่องของมอญในยุคเริ่มแรก และตอนที่สองที่ผมร่างไว้ ก็เริ่มจากเรื่องของหงสาวดีของมอญก่อนพอดี แต่จะเป็นยุคปลายคริสตศตวรรษที่ 13 ซึ่งก็คงไม่ซ้ำซ้อนอะไรกัน แต่เพื่อความต่อเนื่อง ก็ขอเท้าความสักนิด เกี่ยวกับมอญในยุคแรก ๆ

มอญถือเป็นชนชาติแรก ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในดินแดนสุวรรณภูมิ ในชื่อของอาณาจักรสุธรรมวดี หรือ สะเทิม (Thaton) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่หงสาวดี (Hanthawaddy) หรือพะโค (Pegu หรือ Bago) มอญเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทในดินแดนสุวรรณภูมิมาตั้งแต่แรก โดยไม่มีการผ่านวัฒนธรรมฮินดูและพุทธมหายานเหมือนชนชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคเลย จวบจนปัจจุบัน ต่อมา เมื่อชนชาติพม่าเริ่มเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ และตั้งอาณาจักรพุกาม (Pagan) แทนที่อาณาจักรศรีเกษตรหรือพยู (Pyu) ในแถบพม่าตอนเหนือ พระเจ้าอนิรุทธ์ หรือ อโนรธา (Anawrahta) แห่งพุกามได้ยกลงมาตีสะเทิมแตก และมอญก็ตกอยู่ใต้อำนาจของพุกาม จนกระทั่งพุกามถูกมองโกลรุกรานบ้าง ทำให้อำนาจของพุกามเรื่อมเสื่อมสลาย มอญจึงเริ่มแยกตัวเป็นอิสระได้ โดยเป็นจุดตั้งต้นของราชวงศ์มะกะโท อันเป็นยุคที่เกิดเรื่องราวของเรื่องราชาธิราช จนกระทั่งถูกชนชาติพม่าปราบลงอีกครั้งในเรื่องผู้ชนะสิบทิศนี่เอง

อ่านเพิ่มเติมเรื่องของหงสาวดียุคต้นได้จากบทความ มอญ: ชนชาติบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ ที่เว็บ MonStudies.com ซึ่งคัดลอกมาจากเว็บบ้านจอมยุทธอีกที (ต้นฉบับไม่อยู่แล้ว)

ฉะนั้น ข้อมูลประกอบของฝ่ายมอญสำหรับวรรณกรรมทั้งสอง จึงเริ่มจากเรื่องของพระเจ้าฟ้ารั่ว (Wareru) หรือมะกะโทนี่เอง และไปสิ้นสุดที่สมัยของพระเจ้าสการะวุตพี (Takayutpi) ซึ่งถูกพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ (Tabinshweti) ปราบในเรื่องผู้ชนะสิบทิศ

ในเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ตอนประชิดกำแพงหงสาวดี ซึ่งบุเรงนองพารานองอุปราชแปรไปตรวจดูกำแพงเมืองหงสาวดี เพื่อวางแผนทำลายกำแพงนั้น บุเรงนองถามรานองถึงความเก่าแก่ของกำแพงเมืองหงสาวดี และส่วนหนึ่งของคำตอบของรานองก็คือ:

...แลหงสาวดีนั้นมีกษัตริย์ทรงตบะสืบเนื่องต่อกันไม่ขาดสาย นับแต่มะกะโทมีอำนาจเป็นพระเจ้าอยู่หัวตั้งวงศ์ ณ เมืองเมาะตะมะ ลำดับลงมาหกชั่วถึงพินยาอูเล่า ก็ยกแต่เมาะตะมะมาตั้งหงสาวดีเป็นเมืองหลวง ครั้นพินยาอูสิ้นแล้วมังสุระมณีจักรราชบุตรมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าบรรดากษัตริย์อื่น ยินครูผู้รู้เล่าว่าหงสาวดีนี้ก็สถาปนากำแพงหอรบสรรพ สมลักษณะหัวเมืองเอกมาครั้งนั้น นับแต่มังสุระมณีจักรลงมาถึงสการะวุตพีอันดับนี้ก็เก้าชั่วกษัตริย์...

ตรงนี้เป็นการอ้างประวัติศาสตร์โดยย่อของเมืองหงสาวดีตลอดราชวงศ์มะกะโทภายในย่อหน้าเดียว โดยอ้างถึงเรื่องของพระเจ้าราชาธิราชมังสุระมณีจักรนิดหน่อย ซึ่งสามารถขยายความได้ดังนี้

พระเจ้าฟ้ารั่ว (Wareru) หรือ มะกะโท ในเรื่องราชาธิราชระบุว่า เดิมเป็นพ่อค้าชาวเมาะตะมะ (Martaban) ได้ไปทำการค้าถึงสุโขทัยและได้ทำราชการกับพระร่วงเจ้าเป็นนายกองเลี้ยงช้าง ต่อมาได้พาพระธิดาพระร่วงหนีกลับมาเมาะตะมะ และวางแผนกำจัด "อลิมามาง" (Aleimma) พม่าผู้ครองเมืองเมาะตะมะในขณะนั้น แล้วตั้งตนเป็นอิสระจากพม่า ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์มอญที่เมาะตะมะ โดยได้รับพระราชทานพระนามจากพระร่วงว่า "พระเจ้าฟ้ารั่ว" (Wareru)

พระเจ้าฟ้ารั่ว ได้ทำการต่อต้านพม่าร่วมกับ Tarabya แห่งเมืองพะโค โดยต่างได้อภิเษกกับธิดาของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย แต่หลังจากขับไล่พม่าออกไปได้แล้ว Tarabya กลับวางแผนลอบสังหารพระเจ้าฟ้ารั่ว แต่ไม่สำเร็จ หลังการสัประยุทธ์กัน พระเจ้าฟ้ารั่วจับตัว Tarabya ได้ แต่ปล่อยตัวไปหลังจากพระรูปหนึ่งได้ขอชีวิตไว้ แต่ต่อมา Tarabya ก็ยังวางแผนลอบสังหารพระเจ้าฟ้ารั่วซ้ำอีก แต่ชายาซึ่งเป็นธิดาพระเจ้าฟ้ารั่วได้เตือนบิดาเสียก่อน Tayabya จึงถูกประหารชีวิต พระเจ้าฟ้ารั่วจึงปกครองเมืองมอญแต่ผู้เดียวตั้งแต่นั้นมา

พระเจ้าฟ้ารั่ว ถูกลอบสังหารในที่สุด โดยลูก ๆ ของ Tarabya โดยหลังจากลอบสังหารเสร็จก็พากันหนีออกบวช แต่ก็ถูกเหล่าขุนนางจับสึกเพื่อสำเร็จโทษ แล้วถวายราชบัลลังก์ให้อนุชาของพระเจ้าฟ้ารั่วสืบต่อ โดยในช่วงนี้ อาณาจักรมอญได้ปกครองลงไปถึงทวาย (Tavoy)

แผ่นดินมอญช่วงนี้มีเหตุไม่สงบอยู่ตลอดเวลา มีการผลัดแผ่นดินบ่อย ถ้าหักลบปีที่พินยาอูขึ้นครองราชย์ กับปีที่พระเจ้าฟ้ารั่วสิ้นพระชนม์ ก็ห่างกัน 57 ปี และในผู้ชนะสิบทิศอ้างว่าช่วงนี้มีกษัตริย์สืบทอดถึงหกชั่วกษัตริย์ เฉลี่ยตกแผ่นดินละไม่เกินสิบปี ก็นับว่าวุ่นวายเอาการอยู่

พินยาอู (Binnya U) ขับไล่พวกกบฏออกไปพ้นจากแผ่นดินได้ แต่ต่อมาอีก 10 ปี ก็เกิดกบฏขึ้นอีกโดยคนในราชสำนักร่วมกับเจ้าเชียงใหม่ พินยาอูซื้อใจเจ้าเชียงใหม่ด้วยการอภิเษกธิดาให้ แต่ก็ยังไม่สามารถกู้เมืองเมาะตะมะคืนมาจากกบฏได้ ทำให้ต้องไปอยู่ที่ Donwun (ตองหวุ่น?) เป็นเวลา 6 ปี ก่อนที่จะถูกพวกกบฏรุกเข้ามาอีก พินยาอูต้องหนีไปที่พะโค แล้วซ่อมกำแพงเมือง ตั้งมั่นอยู่ที่นั่น ก่อนที่จะเจรจาสงบศึกกับพวกกบฏได้ และไปนำตัวธิดากลับจากเชียงใหม่ เนื่องจากไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร ดังนั้น หงสาวดีหรือพะโคซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของสุธรรมวดี จึงกลับมาเป็นเมืองหลวงของมอญอีกครั้งนับตั้งแต่บัดนั้น

พอก่อน เอาลง blog เลยละกัน ถ้ารอให้เขียนเสร็จจริง ๆ คงจะยาวเกินไป และอาจไม่มีโอกาสได้ลง blog เลยเหมือนร่างฉบับก่อน ไว้โอกาสหน้านึกอยากเขียนค่อยเขียนต่อที่เรื่องของมังสุระมณีจักร พระเจ้าราชาธิราช

อ้างอิง:

G. E. Harvey. History of Burma. Frank Cass & Co. Ltd., 1967.

ป้ายกำกับ: , ,

03 สิงหาคม 2551

Bayinnaung

นอกจากสามก๊กและเรื่องอื่น ๆ ของจีนแล้ว นิยายปลอมพงศาวดารอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบ ซึ่งหลังจากได้ฉบับรวมเล่มราคาถูกมาจากงานสัปดาห์หนังสือ และใช้เวลาเป็นเดือน ๆ อ่านเก็บเล็กผสมน้อยก่อนนอนคืนละสิบกว่าหน้า (เพื่อไม่ให้กระทบเวลางาน) ในที่สุดก็จบนิยายหนาเกือบสองพันหน้านี้จนได้

ผู้ชนะสิบทิศนี้ เคยเรียนตอนศึกเมืองแปรที่ตะเบงชะเวตี้แตกทัพมาแล้ว ได้รู้เค้าโครงเรื่องจากเพลงในชุดผู้ชนะสิบทิศของครูไสลมาบ้าง (มีเว็บรวมเพลงด้วย) แล้วก็รู้มาว่า ยาขอบยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ว่านี่เป็นเรื่อง ปลอมพงศาวดาร ล้วน ๆ โดยอาศัยข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์เพียงเล็กน้อย มาขยายความเป็นร้อยเป็นพันหน้า

แต่ก็ยังอยากอ่านเรื่องเต็ม เพราะรู้สึกถึงรสวรรณกรรมหลากหลายชวนติดตาม แล้วก็ไม่ผิดหวัง แถมยังเป็นแรงกระตุ้นให้ไปหยิบหนังสือประวัติศาสตร์พม่าที่เคยซื้อมาไว้นานแล้ว มาเปิดอ่านเป็นครั้งแรกด้วย!

แน่นอนว่าเรื่องปลอมพงศาวดารนั้น ปลอมมากจนจริงกับเท็จปนเปกัน หนักกว่าสามก๊กเยอะ ผิดกันแต่ว่า เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีว่าเป็นเรื่องปลอม ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเท่าสามก๊ก และความที่เป็นกึ่ง ๆ นิยายประโลมโลก จึงไม่มีตำราบริหารใดยกขึ้นมาเป็นคัมภีร์เหมือนสามก๊ก

แต่เมื่อได้อ่านแล้ว จะพบว่าในส่วนกลศึกต่าง ๆ นั้น ดูสมจริงและเป็นเหตุเป็นผลกว่าสามก๊กเสียอีก การสั่งการก็เป็นขั้นเป็นตอน ที่ไหนที่ชวนสงสัย ก็มีบทถามหรือโต้แย้งของแม่ทัพรอง และนายทัพก็อธิบายจนกระจ่าง ไม่ใช่คนรับคำสั่งยังงง ๆ จนสุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่ากูรบชนะได้ไงเหมือนสไตล์ขงเบ้ง การแสดงภาพทีมเวิร์กอย่างชัดเจนอย่างนี้สิ ยังน่าเป็นตัวอย่างการบริหารได้ดีกว่าเป็นไหน ๆ

นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังสะท้อนบุคลิกของคนที่เกิดมาเพื่อเป็น "ผู้ชนะสิบทิศ" ได้ดีทีเดียว อ่านแล้วจะรู้สึกบ้าพลังอย่างบอกไม่ถูก กลับมามองชีวิตตัวเองแล้วจะเห็นอุปสรรคเป็นเรื่องขี้ผงอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

ส่วนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ .. แหะ ๆ คงไม่ต้องวิจารณ์มาก เห็นชัดกันอยู่แล้ว

และที่น่าสนใจคือ ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของเรื่อง ซึ่งจะมีบทสนทนาที่อ้างถึงประวัติศาสตร์ช่วงต่าง ๆ ของพม่าอยู่ประปราย เป็นแนวให้ไปสืบค้นได้ ไม่ใช่แค่ช่วงแผ่นดินตะเบงชะเวตี้ตามท้องเรื่องเท่านั้น ที่แน่ ๆ คือ ชวนให้อยากอ่านเรื่องราชาธิราช คล้าย ๆ กับตอนที่อ่านสามก๊กแล้วทำให้อยากอ่านเรื่องไซ่ฮั่นเพิ่ม (ซึ่งก็ได้อ่านไปแล้วเช่นกัน)

นี่แหละ ที่ทำให้ได้ไปปัดฝุ่นหนังสือ "History of Burma" บนชั้นหนังสือ อ่านแล้วค่อย ๆ สร้างเค้าโครงประวัติศาสตร์.. แล้วก็นึกเสียดายที่ไม่ได้ตั้งใจเรียน "เพื่อนบ้านของเรา" สมัยมัธยมให้มากกว่านี้

ภูมิหลังประวัติศาสตร์พม่าก่อนเรื่องผู้ชนะสิบทิศนี้ก็คือ แผ่นดินพม่านั้นไม่ได้เป็นเอกภาพหนึ่งเดียว แต่ประกอบด้วยชนชาติต่าง ๆ อาศัยอยู่ด้วยกันหลายชนชาติ เอาเฉพาะที่ถูกอ้างถึงในเนื้อเรื่อง ก็มี มอญ (ตะเลง), พม่า, กะเหรี่ยง, โมนยิน (ฉาน/ไทใหญ่), ยะไข่ แต่ละชนชาติก็ครอบครองพื้นที่แยกต่างหากจากกันเหมือนเป็นคนละประเทศ จนกระทั่งมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นครั้งแรก ในสมัยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ (Tabinshwehti) แห่งราชวงศ์ตองอู แล้วอำนาจของพม่าก็แผ่ไพศาลถึงขีดสุดในสมัยพระเจ้าบาเยงนอง (Bayinnaung) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ บุเรงนองกะยอดินนรธา พระเจ้าชนะสิบทิศผู้พิชิตกรุงศรีอยุธยานั่นเอง ก่อนที่จะอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วในสมัยพระเจ้านนเตี๊ยะบาเยง (Nandabayin) หรือ นันทบุเรง อันเนื่องมาจากนโยบายการบริหารที่ผิดพลาด จนกระทั่งอยุธยาภายใต้การนำของสมเด็จพระนเรศวรผงาดขึ้นมาครองอำนาจในภูมิภาคแทน

พม่าในยุคเริ่มแรก คืออาณาจักรพุกาม (Pagan) ซึ่งผมยังเก็บรายละเอียดไปไม่ถึง ขอข้ามไปก่อน แต่ต่อมาถูกกุบไลข่านรุกราน และเข้ามาครอบงำอำนาจ เจ้ากี้เจ้าการรับรองกษัตริย์ต่าง ๆ ในฐานะผู้ครองแคว้นหนึ่งของจีน นอกจากนี้ ยังได้รับอิทธิพลจากการอพยพลงใต้ของชนเผ่าไท คือพวกไทใหญ่ที่เข้ามายึดพื้นที่ ผลักดันชาวพม่าให้ถอยร่นลงใต้

ในสมัยนั้น ศูนย์กลางอำนาจของพม่าอยู่ที่อังวะ (Ava) ส่วนทางใต้ ชาวตะเลงก็ครอบครองพื้นที่อยู่ โดยมีศูนย์กลางเดิมอยู่ที่เมาะตะมะ (Martaban) ก่อนจะย้ายมาที่พะโค (Pegu) หรือหงสาวดี โดยเมื่อไทใหญ่บุกลงมายึดอำนาจในอังวะได้ ชาวพม่าก็อพยพหนีความโหดร้ายป่าเถื่อนของไทใหญ่ลงมารวมกันที่ศูนย์อำนาจสำคัญสองแห่ง คือ แปร (Prome) และตองอู (Toungoo) โดยที่ตองอูนั้น สัดส่วนของประชากรพม่าจะสูงที่สุด จึงมีเอกภาพและกลายเป็นศูนย์รวมของพม่าที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ

เรื่องราชาธิราชนั้น เป็นประวัติศาสตร์ของมอญ-พม่าในช่วงก่อนการรุกรานของไทใหญ่ ศูนย์กลางของตะเลงเพิ่งย้ายมาหงสาวดีใหม่ ๆ ส่วนศูนย์กลางของพม่ายังคงอยู่ที่อังวะ ส่วนเรื่องผู้ชนะสิบทิศ จะเริ่มในช่วงที่ตองอูเรืองอำนาจแล้ว และเริ่มแผ่ขยายอำนาจไปปราบหงสาวดี แปร และอังวะ (ที่โมนยินไทใหญ่ครอบครองอยู่) รวมแผ่นดินลุ่มแม่อิระวดีเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้เศวตฉัตรของพระจักรพรรดิตะเบงชะเวตี้ที่หงสาวดี และภายหลังพระเจ้าบุเรงนองได้สานต่อ ไปปราบยะไข่ เชียงใหม่ และอยุธยาด้วย

ไว้คราวหน้าค่อยมาเขียนเพิ่ม เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองต่าง ๆ

ป้ายกำกับ: , ,

hacker emblem