Theppitak's blog

My personal blog.

20 กันยายน 2554

Yangon

หลังจาก blog ที่แล้ว ได้เล่าถึงการไปเยือนย่างกุ้งเพื่อบรรยายเกี่ยวกับ Debian ว่าจะเขียนต่อเรื่องพม่าโดยทั่วไป แต่ก็ติดเรื่อง แปล GNOME 3.2 ก่อน tarballs due ของ RC อยู่ เพิ่งจะมีเวลาเขียนต่อก็ตอนนี้เอง

พม่าโดยทั่วไป ถ้าไม่นับเรื่องภาษาแล้ว ก็ถือได้ว่ามีอะไรคล้ายกับไทยพอสมควร

ผู้คน

ผู้ชายชาวพม่าส่วนใหญ่ยังคงนุ่งโสร่งกันเป็นธรรมดา แม้ในโอกาสที่เป็นทางการ สิ่งที่เป็นสมัยใหม่คงเป็นเสื้อเชิ้ต แต่ยังไม่พบการผูกเนคไทร่วมกับการนุ่งโสร่งแต่อย่างใด แต่ก็มีผู้ชายบางส่วนที่นุ่งกางเกงตามแบบตะวันตกบ้างเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นคนสมัยใหม่

แต่เมื่อผ่านสวนสาธารณะ คนที่ออกวิ่งจ๊อกกิงทุกคนนุ่งกางเกงกีฬานะครับ ไม่มีใครนุ่งโสร่งวิ่ง ;-)

ส่วนผู้หญิง จะนุ่งซิ่นยาวกรอมเท้า เป็นภาพที่คล้ายกับที่ลาว แต่ต่างกันที่ลวดลายของซิ่นที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าแบบไหนพม่าแบบไหนลาว ผู้หญิงบางคนนุ่งซิ่นที่ถักทอลวดลายสวยงามมาก ดูจะบ่งบอกฐานะของบุคคล

และเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสาวพม่าคือการไว้ผมยาวโดยผูกรวบเป็นหางม้า ความยาวของผมเป็นที่สะดุดตามาก บางคนยาวถึงสะโพก แต่ที่ยาวที่สุดที่ผมเห็นนั้น ยาวถึงครึ่งขาท่อนบนทีเดียว

แต่ถ้าเป็นหญิงสูงอายุ จะเกล้าผมเป็นมวยแล้วปักปิ่น

และที่สะดุดตาอีกอย่าง คือการประแป้งชนิดหนึ่งที่แก้มของผู้หญิงทุกนาง โดยจะเห็นแป้งตั้งแต่เช้าจรดเย็น ลักษณะคล้ายการประดินสอพองของไทย แต่แป้งจะสีออกเขียวอ่อน จากความรู้ที่ได้จากชาวพม่า เป็นแป้งที่ทำจากหัวของพืชชนิดหนึ่ง

ชาวพม่ายังคงเคี้ยวหมากกันโดยทั่วไป เดินไปตามท้องถนนจะเห็นรอยน้ำหมากบนทางเท้าอยู่ทั่วไป และจะได้กลิ่นน้ำหมากจาง ๆ อยู่ตลอด ชวนให้นึกถึงบรรยากาศชนบทไทยสมัยก่อนที่ผมเคยได้สัมผัสตอนเด็ก

บ้านเมือง

ย่านที่ผมพักในย่างกุ้งนั้น อยู่ใกล้ใจกลางเมืองซึ่งเป็นเมืองเก่าตั้งแต่ยุคอาณานิคม ถนนถูกซอยเป็นตารางถี่ยิบ บ้านเรือนเป็นตึกแถวอายุมากแล้ว ไม่ค่อยจะมีไฟถนน กลางคืนอาศัยไฟจากบ้านเรือนเป็นหลัก แต่ในส่วนที่ติดถนนใหญ่จะมีร้านรวงขายของชำ มือถือ หรือ accessory ของไอทีอยู่หนาแน่น

ศาสนสถานของหลากหลายศาสนาก็มีแทรกอยู่ทั่วไป มีมัสยิดมุสลิม ศาลเจ้าแบบพุทธ หิ้งบูชาที่โคนต้นไม้แบบฮินดู โรงพยาบาลฟรีสำหรับผู้อนาถาของมุสลิม ส่วนโบสถ์คริสต์ที่เห็นจะไปตั้งบนถนนใหญ่

บนถนน ที่พม่าจะขับรถเลนขวา แต่น่าแปลกใจว่ารถเกือบทั้งหมดมีที่นั่งคนขับอยู่ทางขวา เวลานั่งไปในรถแล้วยิ่งเพิ่มความหวาดเสียวเป็นสองเท่า จากเดิมที่เราไม่คุ้นเลนขวาอยู่แล้ว ยังเห็นคนขับอยู่ด้านชิดริมถนน บางครั้งเวลาจะเลี้ยวแอบเห็นคนขับต้องชะโงกหน้าดูรถจากทางแยกก่อนเลี้ยว และเวลาจะขึ้นรถต้องไปเปิดประตูทางฝั่งกลางถนน

รถยนต์ส่วนใหญ่ที่พม่ามีสภาพเก่ามาก เข้าไปนั่งจะได้กลิ่นอับของรถเก่าแทบทุกคัน แท็กซี่บางคันไม่มีที่ไขกระจก เวลาฝนตกคนขับจะหยิบมือหมุนอันหนึ่งมาสวมเพื่อหมุน แล้วเวียนต่อให้ผู้โดยสารไขทีละประตูจนครบ ฟังแล้วอาจจะแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแท็กซี่ที่เมืองไทยไม่ค่อยมีการเปิดปิดกระจก ก็เพราะแท็กซี่เมืองไทยติดแอร์ แต่แท็กซี่พม่าไม่มีแอร์ อยู่ย่างกุ้งมาอาทิตย์หนึ่ง เพิ่งจะเห็นแท็กซี่ติดแอร์แค่คันเดียวเท่านั้น ขับรถไปพอคนขับเกิดอยากจะคายหมาก ก็ต้องรอจังหวะติดไฟแดง เปิดประตูออกไปบ้วนลงพื้นถนน บ้วนทางหน้าต่างไม่ได้เพราะปิดกระจกอยู่

อ้อ แต่เห็นอย่างนี้ ไฟจราจรที่พม่าเป็น LED มีการนับถอยหลังทุกสี่แยกนะครับ และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ผมเคยไปเยือน ขณะนั้นสี่แยกในเมืองไทยยังไม่มีที่ไหนมีเลย

เมื่อเข้าสู่ถนนเล็ก จะพบสามล้อถีบให้บริการ ลักษณะไม่เหมือนสามล้อถีบบ้านเรา คือคนขับจะอยู่ทางซ้าย ที่นั่งผู้โดยสารจะพ่วงอยู่ทางขวา (นี่สิถึงจะถูกหลัก) โดยเป็นที่นั่งเล็ก ๆ แคบ ๆ สองที่หันไปด้านหน้ากับด้านหลัง เอาพนักชนกัน ก็จะนั่งได้สองคนแบบห้อยเท้า ไม่มีประทุนบังแดดบังฝน ถ้าอยากมีร่มก็กางร่มถือเอาเอง

อาหารการกิน

อาหารของพม่านับว่าคุ้นลิ้นคนไทยพอสมควร โดยมีอาหารคล้ายไทย บางจานคล้ายที่อีสาน เช่น แกงหน่อไม้ใส่ใบย่านาง นอกจากนี้ก็มีอาหารสไตล์จีนและอินเดียบ้าง ร้านอาหารที่มีให้เห็นทั่วไปจะเป็นอาหารไทย (ข้าวผัด ผัดกะเพรา ผัดคะน้า ต้มยำกุ้ง ฯลฯ) อาหารไทใหญ่ (ก๋วยเตี๋ยวฉาน) แล้วก็อาหารมุสลิม (ข้าวหมกไก่) มีร้านอาหารจีนที่ขึ้นชื่อคือ Golden Duck (เป็ดย่าง อาหารโต๊ะจีน)

รสชาติอาหาร มีอาหารรสจัดบ้าง แต่เท่าที่ได้ชิมมายังไม่มีจานไหนเผ็ดเกินลิ้นผม (ผมเป็นคนกินเผ็ดได้น้อยมากตามมาตรฐานคนไทย) อาจจะยังไม่เจอของจริงก็เป็นได้ ที่ร้านอาหารพม่า จะเสิร์ฟซุปให้ซดคล่องคอฟรี น้ำดื่มฟรี และถ้าครบเครื่องจริง ๆ จะมีน้ำตาลปึก (ภาษาพม่าเรียก ชากรี) เป็นชิ้น ๆ ให้กินฟรีหลังอาหารด้วย

ของหวาน ที่ได้ชิมสองอย่างรสชาติคล้ายของไทยมาก อย่างแรกคล้ายซ่าหริ่ม แต่จะมีเครื่องเป็นขนุนและไอศกรีมหนึ่งก้อนด้วย ใส่กะทิน้ำเชื่อม เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง ผมจำชื่อเรียกไม่ได้เสียแล้ว ส่วนอย่างที่สอง เรียกว่า "มอนต์เลซอง" (Montlasoung - မုန့်လေသင်း) รสชาตินึกถึงปลากริมไข่เต่าที่ไม่มีไข่เต่าเลย แล้วเติมมะพร้าวขูดลงไปลอยปนอยู่กับชิ้นปลากริมยาว ๆ รสชาติคล้ายกันมาก

ขนมที่พม่าหลายชิ้นที่ได้ชิม จะหนักหวานแต่ไม่หวานจัด หลายอย่างมีกลิ่นนมข้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าใส่นมข้นตรง ๆ เลย หรือเป็นส่วนผสมที่คล้ายนมข้น แล้วก็จะมีรสหวานแบบน้ำตาลปึกปนอยู่ด้วยเสมอ ๆ อ้อ.. ที่พม่ามีขนมครกขายตามข้างทาง เหมือนขนมครกทรงเครื่องของไทยมาก ๆ

และที่พม่า ขนมเช้าที่คนไทยเรียกติดปากแบบผิดเพี้ยนว่า ปาท่องโก๋ นั้น ที่พม่าเรียกว่า E Kya Kway (အီကြာ‌ကွေး - อีจาเกฺว) หรือตามภาษาแต้จิ๋วว่า อิ่วจาก้วย (油炸粿) นั่นเอง

อีกคำที่มีประโยชน์เวลาไปเห็นเมนูอาหาร คือ Kailan หมายถึงผักคะน้า

ภาษา

ภาษาพม่าอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต ซึ่งไม่มีความใกล้เคียงกับไทยเลย แต่ก็มีคำหลายคำที่อาจจะฟังกันรู้เรื่อง โดยเฉพาะคำบาลี-สันสกฤต แต่ต้องทำความเข้าใจเรื่องวิธีออกเสียงสักหน่อย

เสียงที่แปลกที่สุดคือเสียง ร หรือ r ภาษาพม่าจะออกเป็น ย ยกเว้นในคำยืมจากภาษาอื่นจึงจะออกเสียงเป็น ร ดังนั้น ชื่อเมือง Rangoon จึงออกเสียงว่า ย่างกุ้ง ไม่ใช่ ร่างกุ้ง ตรงนี้ คุยกับ น้องชาย ซึ่งชอบค้นคว้าเรื่องภาษาเหมือนกันก็ได้ข้อสังเกตว่า เสียง ร น่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับภูมิภาคนี้ เพราะภาษาลาวแท้ก็ไม่มีเสียง ร แต่จะออกเสียงเป็น ฮ เช่น เรือน (ເຮືອນ) ออกเสียงเป็น เฮือน จนกระทั่งมีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศ จึงได้มีอักษร ร ระคัง (ຣ ຣະຄັງ) ขึ้นมาแทนเสียง ร หรือถ้าไปดูภาษาจีนก็ไม่มีเสียง ร เช่นกัน ไม่ว่าจะจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง หรือกระทั่งจีนกลาง เสียง r ในพินอินก็จะออกเสียงเป็น ย เหมือนพม่า (ที่มีบางตำราออกเสียงเป็น ร ห่อลิ้นนั้น น่าจะเป็นเสียงเพี้ยนมากกว่า) จะมีก็แต่ภาษาเขมรเท่านั้น ที่รัวลิ้นเสียง ร ชัดถ้อยชัดคำ เมื่อภาษาไทยกลางรับภาษาเขมรเข้ามาปนกับภาษาไทยดั้งเดิม จึงได้เกิดการรัวลิ้นของเสียง ร ตามเขมร แต่ถ้าเป็นภาษาไทยถิ่นอื่นโดยทั่วไป จะไม่มีเสียง ร รัวลิ้นนี้

เสียงถัดมาที่เจอบ่อย คือ กฺร (ကြ) หรือ กฺย (ကျ) ซึ่งจะ romanize เป็น ky ทั้งคู่ แต่ออกเสียงเป็น จ เช่น ชื่อ Aung San Suu Kyi (အောင်ဆန်းစုကြည် - อองฉันจุกฺรี) จะออกเสียงเป็น อองชันสุจี (ฉ ออกเสียงเป็น sh, จ ออกเสียงเป็น ซ) ตรงนี้น่าจะเป็นหลักการเดียวกับอักษรควบไม่แท้ ทฺร = ซ ที่เรารับมาจากภาษาเขมร

เสียงถัดมาคือเสียง ส (သ) พม่าจะออกเป็น th กัดลิ้นแบบในคำว่า three ในภาษาอังกฤษ และจะ romanize เป็น th เช่น ชื่อในภาษาบาลี สุระ พม่าจะเขียนเป็น Thura ออกเสียงว่า ธุ่ยะ

อักษรพม่า มาจากอักษรมอญซึ่งเป็นต้นแบบของอักษรธรรมล้านนาและธรรมอีสานเช่นกัน ดังนั้นจึงพอจะเห็นเค้าโครงของตัวอักษรที่คล้ายกันได้ แต่เนื่องจากภาษาพม่าเป็นคนละตระกูลกับภาษาตระกูลไท จึงมีหน่วยเสียงที่แตกต่างกัน และไม่สามารถอ่านสระพม่าได้ง่าย ๆ ด้วยการเทียบกับอักขรวิธีไทยแม้จะแกะอักษรออก แต่ถ้าเป็นการเขียนภาษาบาลี-สันสกฤตล่ะก็ น่าจะพออ่านได้

ไอทีทั่วไป

ที่พม่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตค่อนข้างทุลักทุเล ปัญหาที่พบ เช่น:

  • ไฟตกบ่อย แม้แต่ในโรงแรมชั้นนำ บ้านเรือนทั่วไปจะมีไดนาโมสำหรับปั่นไฟเวลาไฟดับเสมอ วันหนึ่ง ๆ ดับวันละหลายครั้ง ถ้าเป็นสำนักงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ล่ะก็ UPS ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลย
  • อินเทอร์เน็ตไม่ได้มีทั่วไป จะมีเฉพาะในร้านอินเทอร์เน็ตหรือตามสำนักงานเท่านั้น และแม้จะมี hotspot ในบางที่ แต่การเข้าใช้จะซับซ้อนมาก ต้องผ่านพร็อกซีแล้วไปเจอ captive portal อีกชั้น หลังจากต่อเน็ตได้แล้ว ผมแทบไม่กล้าปิดเครื่องเลย
  • มี ISP เพียงสองเจ้า ของรัฐเจ้าหนึ่ง และ subsidise จากรัฐอีกเจ้าหนึ่ง สรุปแล้วก็เสมือนมีเจ้าเดียวนั่นเอง
  • แบนด์วิดท์สูงสุดคือ 2 Mbps แต่โดยปกติจะช้ากว่านี้
  • โดยปกติ พอร์ตที่จะเปิดให้ใช้มีเพียง http และ https นอกนั้นบล็อคหมด ทำให้ไม่สามารถใช้ ssh ในการ commit กับ VCS ได้เลย นับว่าโหดพอ ๆ กับ สวทช. บ้านเราทีเดียว!
  • แม้เมื่อไปตั้งเซิร์ฟเวอร์ที่ศูนย์ข้อมูล ก็สามารถขอให้เปิด ssh ได้แค่ในประเทศเท่านั้น กล่าวคือ ไม่สามารถ remote เข้าไปดูแลเครื่องจากต่างประเทศได้เลย ต้องให้คนในประเทศทำล้วน ๆ และคนในประเทศก็ ssh ออกนอกประเทศไม่ได้ด้วย
  • อินเทอร์เน็ตมีการ filter อย่างเข้มงวด เว็บหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะถูกบล็อคหมด รวมถึงหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยอย่าง Bangkok Post หรือ Nation ด้วย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ารักของพม่าก็คือ มีเต้าเสียบไฟที่เกือบจะเป็น universal อยู่ทั่วไป เพราะมาตรฐานเต้าเสียบของพม่าจะใช้ปลั๊กสามขาอันเบ้อเริ่มแบบอังกฤษ แต่เนื่องจากมีการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านหลายแหล่ง ทั้งไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ จึงจำเป็นต้องทำเต้าเสียบให้รองรับปลั๊กแบบต่าง ๆ จึงสามารถพบเต้าเสียบที่เกือบจะ universal ได้ตามผนังทั่วไป

ที่พม่า โทรศัพท์แอนดรอยด์ที่แพร่หลายที่สุด คือ Huawei เจ้าภาพใจดีให้ผมยืมใช้สำหรับติดต่อระหว่างที่อยู่พม่า ใช้การได้ดีทีเดียว อย่างน้อย แอนดรอยด์ก็รุ่นใหม่กว่า HTC ของผมเยอะ ^_^'

เก็บภาพที่ย่างกุ้งมานิดหน่อยครับ เชิญชมได้

สุดท้าย ต้องขอขอบคุณคุณหง่วยตุน (Ngwe Tun) เจ้าภาพผู้แสนอารี ที่คอยดูแลผมอย่างดีระหว่างอยู่ที่พม่า รวมทั้งคอยตอบข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับพม่าให้กับผมอย่างไม่รู้เบื่อ

ป้ายกำกับ: , ,

04 สิงหาคม 2554

DebConf11 Last Days

เขียน blog เกี่ยวกับ DebConf 11 มาได้ ๔ ตอน (ตอนที่ ๐, ตอนที่ ๑, ตอนที่ ๒, ตอนที่ ๓) ก็มีอันต้องหยุดเขียน เพราะต้องง่วนแก้ปัญหา debianclub.org หนึ่ง (ซึ่งเป็น SSH session ที่ทรมานมาก ด้วยระยะทางที่ไกล) และพยายามเข้า hacklab ทำงานอีกหนึ่ง ก็ขอมาสรุปทีเดียวละกัน

เกี่ยวกับบอสเนีย

  • บอสเนียผ่านศึกสงครามมาหลายครั้ง ถูกยึดครองโดยจักรวรรดิโรมัน, จักรวรรดิออตโตมาน, จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ถูกโครเอเชียและชาวเซิร์บถล่มในสงครามโลกครั้งที่ ๒ และยังมีสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดอีกด้วย
  • ผลของสงคราม ทำให้เมือง Banja Luka มีประชากรผู้หญิงมากเป็น ๗ เท่าของชาย เพราะผู้ชายต้องไปรบและตายในสนามรบเสียเยอะ
  • สมัยโรมัน โรมันยึดครอง Banja Luka โดยไม่ได้บริหารอะไรเลย เพราะชัยภูมิเป็นหุบเขา เข้าถึงลำบาก มีเพียงการตัดถนนเลียบแม่น้ำที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกับโครเอเชียเท่านั้น
  • เมื่อคริสตศาสนาเข้าสู่ยุโรป พื้นที่ยุโรปตะวันออกนับถือนิกายออร์โทดอกซ์เป็นหลัก ในขณะที่ทางยุโรปตะวันตกจะนับถือนิกายแคทอลิก แต่บอสเนียมีนิกายของตนเองต่างหาก นิกายนี้เชื่อว่าพระเยซูคือมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต ไม่ได้เป็นบุตรพระเจ้า และจะมีนักบวชอาวุโสคอยสืบทอดคำสอนของพระเยซู เป็นหลักของบ้านเมือง ส่วนกษัตริย์นั้น เพื่อความอยู่รอดท่ามกลางขั้วอำนาจต่าง ๆ บางครั้งต้องประกาศพระองค์เป็นแคทอลิกบ้าง ออร์โทดอกซ์บ้าง แล้วแต่รัชสมัย แม้ที่จริงแล้วจะนับถือนิกายของบอสเนียเอง
  • การถูกจักรวรรดิออตโตมานซึ่งเป็นชาวเติร์กยึดครอง ทำให้ประชาชนถูกบังคับให้เข้ารีตเป็นมุสลิมมากมาย และมีการสร้างมัสยิด เกิดชุมชนมุสลิมกระจายเป็นแห่ง ๆ ปะปนกับคริสต์ทั้งแคทอลิกและออร์โทดอกซ์
  • อักษรหลัก ๆ ที่ใช้มีสองชนิด คืออักษรละติน (จากรากฐานด้านแคทอลิก) และอักษรซีริลลิก (จากรากฐานด้านออร์โทดอกซ์) และยังมีบ้างที่ใช้อักษรกรีกด้วย ส่วนภาษาพูดก็เป็นภาษาเซิร์บ
  • Banja Luka เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของบอสเนีย เป็นเมืองหลักของเขตการปกครองที่เรียกว่า Republika Srpska ซึ่งแยกเป็นคนละส่วนกับส่วนที่เหลือของประเทศ มีธงชาติแยกต่างหากเป็นของตนเอง แต่เมืองหลวงยังถือว่าอยู่ที่ Sarajevo ที่เป็นเมืองหลวงของทั้งประเทศ
  • ที่ Sarajevo มีสะพานแห่งหนึ่งชื่อ Latin Bridge เป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์โลก คือเป็นจุดที่ Archduke Franz Ferdinand รัชทายาทแห่งออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์ และเป็นชนวนไปสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ในเวลาต่อมา
  • สภาพบ้านเมืองของบอสเนีย ถือว่ามีการพัฒนาพอประมาณ แต่ไม่มากเท่าประเทศในยุโรปตะวันตก ก็คงเป็นมาตรฐานของยุโรปตะวันออกทั่วไป ยังมีถนนปุปะ ทางลูกรังให้เห็นประปราย แต่ที่น่าสังเกตมากคือมีการปลูกข้าวโพดกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ในไร่ แม้กระทั่งในบริเวณบ้านก็จะมีแปลงข้าวโพดให้เห็นในบ้านทั่วไป หรืออย่างน้อยก็ปลูกเป็นแนวกั้นอาณาเขต แล้วจึงมีการปลูกไม้ดอกไม้ผลอย่างอื่นแซมเหมือนบ้านทั่วไป

เนื้อหา DebConf

ถัดจาก blog ก่อน ๆ ก็มีเนื้อหาที่น่าสนใจที่ผมได้เข้าฟังดังนี้:

  • AppRecommender เป็นโครงการสร้างระบบแนะนำซอฟต์แวร์โดยผู้ใช้ด้วยกันเอง (ในลักษณะ ผู้ใช้ที่โหลดโปรแกรมนี้ มักจะโหลดโปรแกรมนั้นด้วย) โดยได้สร้างเว็บ survey เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล และสร้าง เว็บทดสอบการแนะนำซอฟต์แวร์
  • AltosUI เป็นการเล่าประสบการณ์ของ Bdale Garbee และ Keith Packard เกี่ยวกับการทำ UI สำหรับติดตามและควบคุมการปล่อยจรวด โดยทั้งสองเป็นนักพัฒนาที่คร่ำหวอดด้านซอฟต์แวร์ระบบ แต่ไม่มีประสบการณ์เรื่องซอฟต์แวร์ UI สักเท่าไร แต่ก็ได้ทดลองทำ โดยเริ่มจากใช้ภาษาซีและ GTK+ ซึ่งปรากฏว่าพบปัญหามากมาย เช่น เขียนยากกว่าที่คิด, ระบบ GObject ที่ไม่ใช่การรองรับในระดับ syntax และจะพบ warning เกี่ยวกับ type error เมื่อ run-time เท่านั้น, ต้องอาศัยความรู้ในระดับโครงสร้างทั้งหมดเพียงเพื่อเขียนโปรแกรมง่าย ๆ ฯลฯ สุดท้าย เมื่อโครงการมีผู้สนใจมากจนต้องเปิดบริการเชิงพาณิชย์ และต้องรองรับผู้ใช้ Windows และ Mac ด้วย จึงเลือกใช้ภาษา Java แทน ซึ่งปรากฏว่าง่ายกว่ากันมาก ไม่มีปัญหาต่าง ๆ ที่ว่า ตัวโครงการอยู่ที่ gag.com/rockets
  • ระบบ Autobuilder ของ Debian ซึ่งใช้ build แพกเกจสำหรับสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ Debian รองรับโดยอัตโนมัติ แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ wanna-build เป็นระบบประสานงานการขอ build และจัดคิวผ่านฐานข้อมูล, buildd เป็น daemon สำหรับ build, และ sbuild เป็นระบบ chroot ที่ใช้ build (คล้าย pbuilder)
  • รายงานผลการปรับระบบใน debian-mentors เมื่อปลายปีที่แล้ว มีการปรับระบบใน debian-mentors เพื่อให้ RFS ต่าง ๆ ได้รับการตอบสนองดีขึ้น โดยกำหนดให้แต่ละ RFS ต้องได้รับการตอบสนองภายใน ๔ วัน มิฉะนั้นจะเริ่มมีการรายงาน เพื่อให้ DD ที่สนใจจะช่วยได้มองเห็นทันที นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้ sponsoree มีการรีวิวกันเองด้วย ซึ่งผลที่ได้คือเหลือ RFS ตกค้างน้อยลง แต่ก็มีบางเดือนที่ตัวเลขตกค้างเพิ่มขึ้นบ้าง นอกจากนี้ ก็ได้เริ่มพัฒนา expo.debian.net ขึ้นใช้แทน mentors.debian.net ซึ่งนอกจากหน้าตาที่สวยขึ้นแล้ว ยังอาจมีความสามารถอื่น ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการรีวิว เช่น การแตกแฟ้มบางแฟ้มที่สำคัญขึ้นมาแสดงบนเว็บ มีข้อเสนอแนะว่าอาจจะกระจายงานบางส่วนออกไปยัง mailing list ของทีมเฉพาะด้านด้วย (ซึ่งผมคิดว่าก็มีการทำเป็นปกติอยู่แล้ว)
  • FreedomBox เป็นโครงการสร้างกล่องอุปกรณ์เล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวเพื่อการใช้เครือข่ายแบบรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ โดยทำงานผ่าน mesh network มีการก่อตั้ง FreedomBox Foundation ใช้ DreamPlug เป็น reference implementation เริ่มแรก และใน DebConf 11 ก็พยายามแฮ็กกันเพื่อสร้าง user-space tools สำหรับสั่งงาน
  • Language Skill Exchange ไหน ๆ ก็มีคนหลายชาติมารวมกัน ก็เลยมีการเสนอทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ด้านภาษา โดยมีภาษาอิตาลี, สเปน, ไทย, จีน (แมนดาริน, หมิ่นหนาน), อาหรับ, รัสเซีย, เซิร์บ, โครเอเชีย, บอสเนีย, เยอรมัน, ฝรั่งเศส ก็พอสรุปคร่าว ๆ ว่า มีภาษาไทย, จีน และอาหรับที่ไม่มีกริยาช่วย และภาษาส่วนใหญ่ใช้คำขยายต่อท้ายคำหลัก (ไม่ใช่ใช้ข้างหน้าแบบภาษาอังกฤษและจีน)
  • เสนอตัวเจ้าภาพ DebConf 13 ถัดจาก DebConf 12 ที่นิคารากัว ก็มีผู้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ DebConf 13 หลายประเทศ ได้แก่ เวียนนา/ออสเตรีย, ลัตเวีย, สวิตเซอร์แลนด์, อิสตันบูล, กรีซ, สหราชอาณาจักร, WestLafayette/US (เมืองที่ Ian Murdock อยู่ขณะที่ประกาศตั้งโครงการ Debian และในปีที่จัด DebConf 13 นั้น Debian จะมีอายุครบ ๒๐ ปีพอดี), เบอร์ลิน/เยอรมนี ปิดท้ายด้วยไอเดียขำ ๆ จาก H01ger ว่า DebConf 14 อาจจะจัดที่ Martinique ซึ่งเป็นเกาะของฝรั่งเศสในอเมริกาใต้ ซึ่งก็ถือว่ายังอยู่ใน EU คนยุโรปไม่ต้องขอวีซ่า, และ DebConf 18 อาจจะจัดบนเรือเลยดีไหม? โดยล่องเรือไปรับ DD ตามท่าต่าง ๆ แล้วก็ประชุมและแฮ็กกันบนเรือนั่นแหละ แต่ปัญหาหลักคืออินเทอร์เน็ต แต่กว่าจะถึงปีนั้น อาจจะมีเทคโนโลยีรองรับแล้วก็ได้! (ทุกคนชี้ไปที่ Bdale!)

บรรยากาศทั่วไปของ DebConf

  • ผมได้พบกับ DD หลายคนที่เคยติดต่อกันแบบออนไลน์มาก่อน เช่น Martin Würtele (maxx) ซึ่งเป็น AM (application manager) ที่สอบผมตอนสมัครเข้าเป็น DD, Martin Michlmayr (tmb) อดีต DPL ที่เคยมางาน AOSS ที่จีน (แต่ผมไม่ได้ไป) และสนใจกิจกรรมโอเพนซอร์สในไทย, Raphaël Hertzog ผู้สร้าง facebook page ของ Debian และดึงผมเข้าร่วมเป็น admin และยังได้พบกับคนอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยติดต่อกันมาก่อนอีกหลายคน
  • ผมได้สัมผัสกับบรรยากาศของ gift culture ที่ทุกคนล้วนตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วม แม้แต่การดำเนินการประชุมยังมาจากอาสาสมัครผู้ฟังในห้องนั่นแหละ ไม่ต้องมีเจ้าภาพใด ๆ การอภิปรายแบบสร้างสรรค์ที่คึกคัก การรับอาสาทำงานอย่างเต็มใจ ซึ่งบรรยากาศระดับนี้ค่อนข้างหายากที่เมืองไทย จนผมเองก็รู้สึกไม่พร้อมที่จะมีส่วนร่วมเท่าไร ได้แต่ตั้งใจว่าต้องกลับไปเตรียมตัว ไปฝึกฝนให้มากกว่านี้
  • ได้พบว่าบางครั้งไม่ใช่แค่เราที่กลัวฝรั่ง ฝรั่งบางคนก็กลัวที่จะนั่งคุยกับคนเอเชียเหมือนกัน เพราะคนเอเชียมักมีบุคลิกขรึม ๆ เขาก็ไม่รู้จะเปิดปากพูดด้วยเรื่องอะไร หรือชวนคุยแล้วเขาจะต้องรับภาระพูดเป็นต่อยหอยฝ่ายเดียวหรือเปล่า บางครั้งจึงต้องมีการ break the ice ด้วยการเป็นฝ่ายชวนเขาคุยเสียหน่อย ซึ่งถ้าคิดประเด็นแรกได้แล้ว ก็จะสามารถสนทนาลื่นไหลต่อไปได้
  • ได้พบว่าข่าวการเมืองไทยค่อนข้างฉาวโฉ่ คนทั่วโลกเขารู้รายละเอียดพอสมควรว่าเหลือง-แดงคิดอะไร ทำอะไร เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นพูดคุยบนโต๊ะอาหารได้เลย (ซึ่งผมเองไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นแน่)
  • OpenStreetMap ที่บอสเนียข้อมูลค่อนข้างหนาแน่น แค่พื้นที่แคบ ๆ ข้อมูลก็เกินขนาดที่ API รองรับได้แล้ว

ป้ายกำกับ: , ,

25 กรกฎาคม 2554

DebConf11 Day 1: Debian Day

DebConf11 วันแรก เป็นกิจกรรม Debian Day เน้นการเผยแพร่ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ Debian ให้คนทั่วไปฟัง

คนแรกที่ขึ้นพูดคือ Bdale Garbee ซึ่งนับเป็นนักพัฒนา Debian ที่ร่วมทำงานกับ Debian มายาวนานที่สุดในบรรดานักพัฒนาที่ยัง active อยู่ในปัจจุบัน (ดู บทสัมภาษณ์โดย Raphaël Hertzog) ปัจจุบันทำงานกับ HP งานอดิเรกของเขาคือสร้างจรวด!

Bdale เล่าประวัติศาสตร์ของ Debian ว่าเริ่มออกรุ่น 0.01 ในปี 1993 (เขาเข้าร่วมในปี 1994 ซึ่งเป็นปีที่ออกรุ่น 0.91) และรุ่น 0.93 ในปี 1995 ก็เริ่มใช้ dpkg จัดการแพกเกจ ถือเป็น distro แรกที่มีระบบจัดการแพกเกจแบบมี dependency

นอกจากนี้ Debian ยังเป็น distro แรกที่มีการพัฒนาแบบเปิดโดยอาศัยชุมชนล้วน ๆ โดยเป็น distro แรกที่ทำ Social Contract พร้อมกับร่าง Debian Free Software Guidelines (DFSG) เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ นอกเหนือจากหลักการ Software Freedom ของ Free Software Foundation ด้วย ซึ่งต่อมา เมื่อมีการบัญญัติคำว่า Open Source ในภายหลัง ก็ได้นำ DFSG นี้ไปใช้เป็น Open Source Definition แทบจะทั้งดุ้น มีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำนิดหน่อยไม่ให้เจาะจง Debian เท่านั้น

Bug Tracking System (BTS) ของ Debian เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1994 เป็น mail-in/web-out

มีการร่าง Debian Policy เพื่อเป็นข้อกำหนดทางเทคนิคของการทำงานร่วมกันในชุมชน

มี Debian Constitution (ธรรมนูญเดเบียน) เพื่อเป็นบทบัญญัติในการตัดสินกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ประกอบด้วยกระบวนการตัดสินใจอย่างเป็นแบบแผน (formal decision making), การแบ่งอำนาจหน้าที่ (Developers, Technical Committee, Project Secretary, Project Leader, Delegates), และกำหนดกระบวนการลงคะแนน (voting process)

สิ่งที่นักพัฒนาอาวุโสท่านนี้บอกว่าได้เรียนรู้มีสองเรื่อง:

  • อย่าประเมินค่าของคุณค่าต่าง ๆ ต่ำเกินไป (Never underestimate value of values)
    • คุณค่า (values) ทำให้เกิดวิสัยทัศน์ (vision), กุศโลบาย (strategy) และเป้าหมาย (objectives)
    • คุณค่าเป็นเหมือนสมอยึด (anchor) เมื่อเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้น
  • สัญญาประชาคมภายใน (internal social contract) มีความสำคัญพอ ๆ กับสัญญาประชาคมภายนอก (external social contract) กล่าวคือ
    • Debian ยังขาด Code of Conduct (ระเบียบชุมชน)
    • ... (ฟังไม่ทัน) ...
    • มักเกิดเผด็จการของคนกลุ่มน้อยที่เสียงดัง (tyranny of vocal-minority) ขึ้นบ่อย ๆ

นอกจากนี้ยังได้พูดถึง facility ทางเทคนิคของ Debian เช่น ระบบแพกเกจ และระบบ auto-build ซึ่งทำให้ Debian รองรับเครื่องหลากหลายสถาปัตยกรรมได้โดยไม่เป็นภาระของนักพัฒนาเลย

คนต่อมาที่ขึ้นพูดคือ Enrico Zini ซึ่งเป็น DD ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามาก ๆ คนหนึ่ง นำเสนอเรื่องในชุมชน Debian ว่ามีหลากหลายแค่ไหน เช่น:

  • มีคนจากหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ พนักงานบริษัท เจ้าของกิจการ ไปจนถึงพนักงานดับเพลิง บางคนสร้างจรวดเป็นงานอดิเรก บางคนท่องอวกาศเป็นงานอดิเรก!
  • มีคนหลายวัย ตั้งแต่เด็กไปจนแก่ บางคนมีลูกแล้ว บางคนมีหลานแล้ว บางคนลูกก็ยังมาเป็น DD อีก บางคนพบรักกันใน DebConf บางคนจัดงานแต่งงานใน DebConf บางคนมาฮันนีมูนที่ DebConf!

ดังนั้น จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอะไรมากใน Debian ยกเว้นเรื่องสำคัญที่ผูกโยงทุกคนเข้าด้วยกัน ได้แก่ Social Contract, DFSG, DMUP

เวลามีปัญหาเกิดขึ้น Debian ก็มีแนวทางแก้ปัญหาของตัวเอง โดยผ่านโครงสร้างต่าง ๆ ใน Debian Contitution (ธรรมนูญเดเบียน) ซึ่ง Bdale ได้พูดไปแล้ว

ถัดจากนั้น Jesus Climent (ผมเพิ่งทราบว่าชื่อของเขาไม่ได้ออกเสียงว่า จีซัส แต่เป็น เฮซัส) ซึ่งเป็น DD ที่ทำงานที่ Google ก็มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการใช้ Debian ใน Google ซึ่งระบบต่าง ๆ ใน Debian ทำให้ Google สามารถถอดเปลี่ยน เพิ่ม หรือซ่อมแซม storage ต่าง ๆ ที่มีมากมายมหาศาลได้แบบไม่ต้องปิดระบบ ไม่ต้องรีบูต ไม่ต้องใช้คนสั่ง ทุกอย่างอัตโนมัติหมด รวมถึงการอัปเกรดและทดสอบระบบด้วย

(Jesus เข้ามาคุยกับเราก่อนหน้านั้น เขาบอกว่าเคยมาเที่ยวเมืองไทย ชอบเมืองไทยมาก ถึงขนาดไปทำรอยสักภาษาไทยไว้เป็นที่ระลึก)

ปิดท้ายด้วย Gerfried Fuchs (rhonda) พูดถึงระบบ e-card ของออสเตรีย ซึ่งเป็น smartcard สำหรับจัดการระบบแบบเชื่อมรวมทุกอย่างในบัตรเดียว โดยเริ่มจากบริการสาธารณสุขก่อนในขั้นแรก และจะขยายไปยังระบบอื่น ๆ สำหรับบริการประชาชน รวมไปถึงการขยายไปใช้ทั่วทั้ง EU ในอนาคตด้วย บริษัท SVC ของเขาพัฒนาระบบโดยใช้ Debian เป็นฐาน

ป้ายกำกับ: , ,

24 กรกฎาคม 2554

Finally in Banja Luka

บันทึกการเดินทางจากขอนแก่นถึง Banja Luka เพื่อร่วมงาน DebConf11 เป็นการเดินทางที่ลุ้นระทึกตลอดทาง

ปัญหาหลักคือเรื่องวีซ่าเข้าประเทศ เริ่มจากเงื่อนไขสำคัญคือไม่มีสถานทูตบอสเนียในประเทศไทย ถ้าจะขอวีซ่าต้องไปขอที่สถานทูตบอสเนียในมาเลเซีย แต่เผอิญมาติดเงื่อนไขอีกอย่างของผม คือแม่ยังไม่หายเจ็บแขน ยังต้องคอยทำงานต่าง ๆ แทนแม่อยู่ ถ้าจะต้องเดินทางไปไหน จะต้องหาคนมาอยู่แทนให้ได้ก่อน ซึ่งก็ได้พยายามหลายทาง ตั้งแต่คุยกับน้อง ๆ (ซึ่งตอนนี้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมด) ให้มาช่วยอยู่แทน ซึ่งแต่ละคนก็ติดภาระของครอบครัวตัวเองเช่นกัน หรือจะเป็นการพยายามจ้างคนที่ไว้ใจได้มาอยู่แทน แต่สุดท้ายก็ได้น้อง ๆ มาช่วยในช่วงที่ผมมาร่วม DebConf แต่ในช่วงที่ไปขอวีซ่าที่มาเลเซียนั้น ยังไม่สะดวก

เผอิญได้ข้อมูลมาว่าสามารถขอวีซ่าโดยส่งหลักฐานทาง DHL ได้ จึงฝาก อ.กิตติ์ ซึ่งจะไปด้วยกันช่วยดำเนินการให้ ซึ่งฝ่ายวิเทศฯ ของ มข. ก็ช่วยดำเนินการและติดตามผลให้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายจวนถึงวันเดินทาง วีซ่าก็ยังไม่ส่งกลับมา

จึงรีบติดต่อเจ้าภาพ ว่าจะสามารถขอ visa on arrival ได้หรือไม่ ซึ่งเจ้าภาพก็ดีใจหาย ดำเนินการทุกอย่างให้ โดยเข้าใจว่าเขาได้ติดต่อขอวีซ่าสำหรับผู้เข้าร่วมงานทุกคนอยู่แล้ว จึงได้ส่งหลักฐานที่จำเป็นมา ให้เรายื่นต่อสายการบินและ ต.ม. ว่าเราจะได้วีซ่าเมื่อไปถึง

ตัดฉับมาที่สนามบินสุวรรณภูมิคืนวันที่ ๒๑ ก.ค. อ.กิตติ์กับผมลงจากเครื่องบินจากขอนแก่นก็ตรงไปเช็กอินที่ Turkish Airways เพื่อเดินทางไปบอสเนีย ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะให้เราขึ้นเครื่อง!

สาเหตุคือหลักฐานของเราอ่อนเกินไป เป็นเพียงหนังสือของเอกชนว่าได้ยื่นขอวีซ่าให้เราแล้ว แต่ยังไม่มีลายเซ็นรับรองจากรัฐบาลบอสเนียว่าเราจะได้วีซ่าแน่นอน และจากกรณีต่าง ๆ ที่เขาเคยพบในอดีตที่มีการส่งกลับจากวิธีขอวีซ่าแบบนี้ ทำให้เขาต้องปฏิเสธเราเพื่อความแน่ใจ

คืนนั้น อ.กิตติ์ จึงพาไปพักที่โรงแรมใกล้ ๆ สนามบิน และพยายามติดต่อขอหลักฐานเพิ่มเติมจากเจ้าภาพ แต่เวลานั้นที่บอสเนียเลย ๕ โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว จึงต้องรอดำเนินการในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะเริ่มได้ก็ตรงกับเวลาบ่ายโมงในบ้านเราเป็นอย่างเร็ว และเขายังขอหลักฐานเพิ่มเติมของเรา คือสำเนาหนังสือเดินทาง ซึ่งในยามฉุกละหุกอย่างนั้นก็มีแต่ภาพถ่ายจากกล้องมือถือเท่านั้นที่เราทำได้

จากนั้น คืนวันที่ ๒๑ ต่อครึ่งเช้าของวันที่ ๒๒ เราจึงทำได้แต่เพียงนั่งรอ.. ก็อ่านหนังสือหรือทำงานไปตามเรื่อง ผมเองนั่งอ่านภาพถ่ายใบลานอักษรอีสานที่ได้ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ ทั้งอักษรธรรมและไทยน้อย จนสามารถอ่านได้หลายส่วน จึงทยอยปริวรรตเก็บไว้ และทำให้เจอกรณีเพิ่มเติมให้แก้ฟอนต์เพิ่มอีก

ช่วงบ่ายวันที่ ๒๒ หลังจากเช็กเอาต์โรงแรมแล้ว ก็นั่งรออีเมลอยู่ที่ล็อบบี้ จนราวเกือบ ๕ โมงเย็นจึงมีเมลตอบกลับมาพร้อมหนังสือที่มีลายเซ็นเจ้าหน้าที่ เราจึงนำไปพิมพ์ออกกระดาษด้วยบริการของโรงแรม แล้วพยายามโทรติดต่อสายการบิน แต่โครงข่าย DTAC เจ้ากรรมดันมาเสียในช่วงเวลานั้น โทรออกไปไหนไม่ได้เลย แม้แต่โทรหากันเอง จึงตัดสินใจนั่งลีมูซีนของโรงแรมไปสนามบินเลย แล้วไปลุ้นเอาที่เคาน์เตอร์เช็กอินกันเลย

เนื่องจากเป็นเที่ยวบินดึก กว่าเคาน์เตอร์จะเปิดก็สองทุ่ม ก็เดินโต๋เต๋ในสนามบินโดยพยายามทำใจให้ผ่อนคลาย จนเคาน์เตอร์เปิดก็ตรงเข้าไปยื่นหลักฐาน คราวนี้เจ้าหน้าที่ยอมให้เช็กอิน และพยายามหาที่นั่งว่างในเที่ยวบินคืนนั้นให้ โดยบอกให้เราไปถ่ายเอกสารหนังสือรับรองเพิ่มด้วย เพื่อเอาไว้ใช้อีกสองครั้ง คือเมื่อไปเปลี่ยนเครื่องที่อิสตันบูล และอีกครั้งเมื่อไปขอวีซ่าที่ซาราเจโว

เป็นอันอุ่นใจว่าได้ไปแน่ แต่ยังต้องลุ้นต่อว่าจะเจออุปสรรคทำนองนี้ระหว่างทางอีกหรือเปล่า

เกือบตีสามของวันที่ ๒๓ ตามเวลาที่อิสตันบูล อ.กิตติ์กับผมก็ลงเครื่องมารอต่อเครื่องที่จะออกตอนเที่ยงไปซาราเจโว พยายามจะงีบแต่ก็ไม่หลับ นาฬิกาชีวะซึ่งเป็นเวลา ๗ โมงเช้าแล้วมันตื่นตัวเรียบร้อย เลยได้แต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอ เป็นไม่กี่ครั้งที่อ่านหนังสือพิมพ์จนครบทุกหน้า!

เกือบเที่ยง จึงไปขึ้นเครื่อง คราวนี้เจ้าหน้าที่ให้ผ่านโดยง่าย ไม่ถามหาแม้กระทั่งหนังสือรับรองที่ว่านั้น!

ราวเกือบบ่ายสองของวันที่ ๒๓ ตามเวลาที่ซาราเจโว (นาฬิกาชีวะเป็นเวลา ๑ ทุ่ม) พวกเราลงจากเครื่องมาผ่าน ต.ม. อ.กิตติ์ชวนไปติดต่อที่ห้องวีซ่าเลย แต่ห้องปิด จึงมาต่อแถวตรวจหนังสือเดินทางตามปกติ เจ้าหน้าที่ก็คัดแยกให้เรามาขอวีซ่าก่อน เจออุปสรรคอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าเราจะต้องจ่ายค่าวีซ่าเป็นเงิน KM ซึ่งเป็นสกุลเงินของบอสเนียเท่านั้น แต่เราถือแต่เงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐกันมา และขณะนั้นเคาน์เตอร์แลกเงินในสนามบินปิดแล้ว! (สนามบินนานาชาติซาราเจโว ขนาดพอ ๆ กับสนามบินขอนแก่น มีรันเวย์เดียว มีที่จอดเครื่องบินได้ไม่เกินสองลำ และทั้งสนามบินมีเคาน์เตอร์แลกเงินเพียงเคาน์เตอร์เดียว!)

เจ้าหน้าที่บอกว่า จะต้องให้คนบอสเนียมาจ่ายเงินให้เรา จึงโทรติดต่อเจ้าภาพ ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ Banja Luka กัน ถ้าจะเดินทางมาต้องใช้เวลา ๕-๖ ชั่วโมง แต่เจ้าภาพเจรจากับเจ้าหน้าที่จนได้ ว่าให้เราจ่ายค่าวีซ่าไปก่อน แล้วไปเบิกคืนกับเขา โดยพยายามหาแลกเงินกับใครก็ได้ในสนามบินไปก่อน อ.กิตติ์ถือเงินยูโร ผมถือเงินดอลลาร์สหรัฐ (ผมไม่ได้แลกเงินยูโรไป เพราะยังมีเงินดอลลาร์สหรัฐตกค้างจากการไปต่างประเทศครั้งก่อน ๆ ที่ยังไม่ได้แลกคืนอยู่ และเราไม่สามารถแลกเงิน KM จากเมืองไทยได้ ไม่มีธนาคารไหนให้แลก) เงินยูโรมีโอกาสแลกได้สูงกว่า เขาจึงพา อ.กิตติ์ เข้าไปหาแลกเงินจากคนในสนามบิน ก็ได้เงิน KM กลับมาจ่ายค่าธรรมเนียม และในที่สุดเราก็ได้วีซ่า! และได้ประทับตราเข้าเมืองได้ (เป็นอีกครั้งที่อยากใช้คำว่า ปลาบปลื้มน้ำตาไหล)

จากนั้น จึงต้องยอมจ่ายค่าแท็กซี่เป็นเงินยูโรไปก่อน (ซึ่งมีโอกาสโดนโขกสูง) เพื่อไปสถานีรถบัสที่จะไป Banja Luka อ.กิตติ์พยายามหาที่แลกเงินจนได้ โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถแลกเงินได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์ใกล้ ๆ นั้น

บ่ายสามโมงครึ่ง รถบัสออก ทางที่จะไป Banja Luka นั้น ผ่านภูเขาหลายลูก ทิวทัศน์ข้างทางสวยงามน่าดูชมทีเดียว มีเขาเตี้ย ๆ แต่มีเมฆปกคลุมยอดเขาซึ่งหลายแห่งเป็นหน้าผาชัน ชวนให้นึกถึงคำว่า ขุนเขายะเยือก บทกวีของฮั่นชาน มีบ้านคนอยู่ตามเชิงเขาเรียงรายขึ้นไปบนเขาแม้ในที่สูง ๆ คล้ายการตั้งบ้านเรือนของชาวเขาที่เคยเห็นที่ภาคเหนือของไทย และที่สังเกตได้คือ จะเห็นบ้านข้างทางปลูกข้าวโพดในบริเวณบ้านกันเป็นปกติ เป็นแปลงเล็กบ้างใหญ่บ้าง หรือบางบ้านปลูกแค่เป็นแถวคล้ายไม้ประดับ แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับบ้านคนแถวนี้ แปลกดี

ระหว่างทาง บางช่วงมีลำธารสายใหญ่แทรกระหว่างกลางหน้าผาสูงชัน ซึ่งถนนที่เราผ่านนั้นอยู่บนฝั่งหนึ่งของหน้าผานั้น เป็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาพอสมควร

เราชมวิวทิวทัศน์และคุยกันได้แค่ประมาณครึ่งทาง หรืออาจจะไม่ถึงก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะที่เหลือนั้นหลับตลอดทาง อันเนื่องมาจากทางวกวนอ้อมเขา ประกอบกับนาฬิกาชีวะที่ตอนนั้นเลยเวลานอนแล้ว เป็นการหลับที่ไม่เรียกว่าอิ่มได้ เพราะยังคงรู้สึกตัวตื่นในรถเป็นระยะ ๆ ประกอบกับแสงอาทิตย์ข้างนอกที่ไม่มีทีท่าว่าจะมืดลงง่าย ๆ ผมสาบานได้ว่ายังเห็นคนตกปลากันอยู่ในลำธารข้างล่างราวกับเป็นกลางวัน ในขณะที่นาฬิกาในรถบอกเวลาสองทุ่มแล้ว! จนกระทั่งสามทุ่มนั่นแหละ ที่ฟ้าจะเริ่มแดงและมืดลงอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางรถบัสจอดแวะให้เข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ทำให้ได้สังเกตป้ายราคาน้ำมัน ที่นี่น้ำมันดีเซลแพงเท่าน้ำมันเบนซิน โดยดีเซลบางชนิดแพงกว่าด้วยซ้ำ ราคาก็ตกลิตรละ ๒.๓๐ KM ก็ราว ๆ ๕๐ บาท

เกือบสี่ทุ่ม รถบัสส่งเราลงที่สถานี Banja Luka เรานั่งแท็กซี่ต่อมาที่โรงแรมเพื่อเช็กอิน รับคูปองมาทานอาหารเย็นแล้วเข้าห้องพักหลับเป็นตาย นับเวลาเดินทางตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ ก็ราว ๒๘ ชั่วโมง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตจะง่ายขึ้นมากถ้าพยายามขอวีซ่าให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ซึ่งถ้าไม่ติดขัดเงื่อนไขที่ว่าไป ผมก็ควรไปขอวีซ่าที่มาเลเซียตั้งแต่แรก ครั้งนี้นับว่าโชคดีที่มากับผู้มีประสบการณ์การเดินทางอย่าง อ.กิตติ์ ไม่งั้นคงลำบากลำบนกว่านี้มาก

ป้ายกำกับ: ,

01 ตุลาคม 2552

Taiwan Mini-DebConf 2009

วันที่ 24 ก.ย. ไปร่วมเสวนาที่งาน OSS Fest 2009 ที่ Science Park แล้ววันรุ่งขึ้นก็บินต่อไปไทเป เพื่อร่วมงาน Mini-DebConf 2009 วันที่ 26-27 จากนั้น วันที่ 28 บินกลับกรุงเทพฯ วันที่ 29 กลับขอนแก่น

เป็นกำหนดการที่แน่นเอี้ยดมาก แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะก่อนหน้านั้นต้องเคลียร์งานอีกจมหู ทั้งงานที่โรงเรียน ทั้งงานแปล GNOME และแก้บั๊ก Pango ทำให้ต้องใช้เวลาแบบ optimize สุด ๆ โดยไปร่วม OSS Fest แค่วันเดียว แถมยังไปนั่งตรวจคำแปลในงานอีก แทบไม่ได้คุยกับใคร

งาน mini-DebConf เป็น session ย่อยในงาน ICOS 2009 ของไต้หวันอีกที โดยบังเอิญ Andrew Lee สามารถเชิญ Debian Developer มาได้หลายคน จนเกิดเป็น mini-DebConf ได้

การบรรยายในงาน ก็มีมาจากโครงการ Emdebian และ Skolelinux เสียหลายเรื่อง ทำให้ได้ทราบถึงการ customize Debian ในงานต่าง ๆ โดยเฉพาะการผลักดันลินุกซ์เข้าไปในสถานศึกษาของ Skolelinux ซึ่งทางยุโรปและอเมริกาใต้เขาไปได้ไกลมาก ๆ

การบรรยายอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ก็มีเรื่องของ Debian culture, แนะนำ SPI ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุน Debian และโครงการโอเพนซอร์สต่าง ๆ อยู่, กลไกการทำงานของ Debian ftp-master, ประเด็นต่าง ๆ ในการ customize distro, ประสบการณ์ส่วนตัวของ Debian Developer, ทัศนะของ champion bug reporter, การใช้ dynamic library, รวมทั้งเรื่องของ RahuNAS จากประเทศไทยเองด้วย

แต่นอกเหนือจากการบรรยาย ก็ได้ทำความรู้จักกับ Debian Developer เพิ่มขึ้นอีกหลายคน ได้เจอตัวจริงของ DD คนขยันที่เคย sponsor แพกเกจให้ผมอย่าง Anibal Monsalve Salazar หรือจะเป็นคนที่เคยคุยกันใน bug report มาก่อนอย่าง Anothony Fok รวมทั้งคนลินุกซ์ของไต้หวันอีกหลายคน โอกาสอย่างนี้หาได้ไม่ง่ายนัก โดยในท้ายงานก็ได้มี key signing party เพื่อเซ็นรับรองกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ให้กัน เพื่อไว้ใช้ทำงานใน Debian ต่อไปอีกด้วย

ตอนท้ายงาน เจ้าภาพก็ได้มาหารือเรื่องการจัด DebCamp ปลายปีนี้ โดยถ้าประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพ ก็จะเป็นการปูทางให้เกิด event ต่าง ๆ ขึ้นในประเทศไทยต่อไป รวมถึง DebConf ด้วย

โชคดีที่ครั้งนี้เราได้ อ.กิตติ์ ร่วมเดินทางไปด้วย ทำให้ได้สังเกตการณ์การจัดงาน และก่อนไป อ.กิตติ์ ได้คุยกับผู้บริหารไว้แล้ว ว่าอาจสนับสนุน event เช่นนี้ในประเทศไทย ก็เลยตกลงว่าไทยเรารับเป็นเจ้าภาพจัด DebCamp 2009 ปลายปีนี้แล้ว โดย อ.กิตติ์ รับเป็นผู้ประสานงานให้ แนวทางก็คือ อยากให้งานนี้เป็นงานที่ชุมชนร่วมกันจัด ก็อาจจะขอการสนับสนุนจากหน่วยงานอย่าง มข., NECTEC, SIPA และขอแรงจากชุมชนต่าง ๆ อย่าง UbuntuClub, DebianClub ฯลฯ โดยเรามีเวลาเหลืออีกไม่มาก นับจากวันนี้จนถึงกำหนดตอนสิ้นปี ก็เหลือเพียงไม่ถึง 3 เดือนเท่านั้นสำหรับจัดงานนี้

แนวคิดของ DebCamp คือ เป็นงานในลักษณะ hack fest ของชาว Debian พร้อม ๆ กับเป็นการทำความรู้จักระหว่าง DD กับชุมชน Debian ในท้องถิ่น โดยในโอกาสนี้ก็เป็นการเที่ยวพักผ่อนของ DD ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปในตัว

เนื่องจาก Debian ไม่ได้เป็นหน่วยงานแสวงกำไร การจัดงานต่าง ๆ จึงเน้นเรื่องการประหยัดงบประมาณเป็นหลัก ก็เลยพยายามหาสถานที่ที่ไม่แพง เช่น ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว อยู่ชานเมือง แต่ยังเดินทางสะดวก และมีอินเทอร์เน็ตที่ใช้การได้ดี โดยในครั้งนี้อาจต้องหาโปรแกรมเที่ยวไว้รองรับด้วย

แต่ที่สำคัญที่คนท้องถิ่นจะได้ประโยชน์ คือการได้ทำความรู้จักกับ Debian Developer ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมงานช่วยเหลือกันต่อไปในอนาคต จากที่ได้เห็นในงาน mini-DebConf ก็ปรากฏว่าผู้มาร่วมงานมีทั้งผู้ใช้ Debian และ Ubuntu ปะปนกัน ทางฝั่ง DD เองก็มาจากทั้ง Debian, Ubuntu, Skolelinux โดยร่วมงานกันในนาม Debian อย่างสนิทสนม เป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกได้ว่า Debian และ derivative distro ต่าง ๆ เป็นครอบครัวเดียวกันอย่างแท้จริง

ดังนั้น งานนี้ ไม่น่าจะจำกัดอยู่แค่ผู้ใช้ Debian นะครับ ผู้ใช้ Ubuntu หรือ derivative ใด ๆ ของ Debian ก็สามารถเข้าร่วมได้อย่างสบาย หรือแม้กระทั่งไม่ใช่ตระกูล Debian เลย ก็ยังอาจหาช่องทางที่จะทำงานร่วมกันได้

ถ้าสนใจจะเข้าร่วม อ.กิตติ์ ได้นัดประชุมทาง IRC ที่ห้อง #tlwg ที่ irc.linux.in.th วันศุกร์ที่ 2 ต.ค. (พรุ่งนี้) เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป และติดตามความคืบหน้าต่าง ๆ ได้ที่หน้า Debian Wiki ครับ

ป้ายกำกับ: , , , , ,

04 มกราคม 2552

New Year Dhamma

ปีใหม่ ไปนครนายกกับครอบครัวมา (ภาพ) เช้าวันขึ้นปีใหม่ก็ได้ไปทำบุญตักบาตรที่วัดหนองเตย พร้อมรับศีลรับพรจากพระสงฆ์เพื่อเป็นศิริมงคล

ธรรมที่ท่านเจ้าอาวาสบรรยายบนธรรมาสน์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับจริยาที่เหมาะควรแก่วัยต่าง ๆ เมื่อนำมาประกอบกับหนังสือธรรมะที่แจก ก็มีแนวคิดบางอย่างเสริมกันได้ดี ผมรู้สึกว่าการได้อ่านหนังสือธรรมะเล่มบางเพียง ๒๙ หน้านี้ เป็นการชาร์จแบตให้กับตัวเองสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่อย่างแท้จริง

ชื่อหนังสือคือ "ความรุนแรงเกิดจากความอ่อนแอ" ปาฐกถาธรรมของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ปี ๒๕๔๙ ที่วัดญาณเวศกวัน อ. สามพราน จ. นครปฐม ชื่อหนังสือที่ยังคงสะกิดใจในยุคสมัยนี้ ทำให้ผมเปิดอ่านทันทีที่ได้รับ ความจริงก็เคยได้ยินเกี่ยวกับหนังสือนี้นานแล้ว รวมทั้งที่เคยเห็นที่ร้านหนังสือ แต่ได้แต่นึกเห็นด้วยโดยไม่ได้เปิดอ่าน

เนื้อหาส่วนแรก ๆ นั้น เกี่ยวกับเรื่อง "ทางสายกลาง" หรือ "มัชฌิมาปฏิปทา" ซึ่งเป็นเนื้อหาส่วนต้นของธัมมจักกัปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าแสดงเป็นปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ เพื่อชี้ให้เห็นทางที่สุดโต่งสองอย่าง คืออัตตกิลมถานุโยค (การทรมานตน) กับกามสุขัลลิกานุโยค (ความเพลิดเพลินในกามสุข) ว่าไม่ใช่ทางแห่งการดับทุกข์ แต่ทางที่ดับทุกข์ได้นั้น คือทางสายกลาง ไม่ตึงไม่หย่อน แล้วจึงแสดงอริยสัจ ๔ โดยชี้ให้เห็นเป็นลำดับตั้งแต่ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และทางไปสู่การดับทุกข์นั้น

"ทางสายกลาง" นี้ เมื่อนำมาใช้ในบริบทต่าง ๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจได้ง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคิด ความไม่ตึงไม่หย่อน ไม่ใช่หมายความว่าให้อยู่ตรงกลางระหว่างความสุดโต่ง เพราะการอยู่ตรงกลางนั้น คนที่อยู่ตรงกลางจะไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ต้องขยับไปมาตามฝ่ายที่สุดโต่ง โดยเป็นนักคำนวณหาจุดกึ่งกลางไปเรื่อย ๆ หากแต่ "ทางสายกลาง" นั้น หมายถึง "ทางที่ถูกต้อง" หรือ "สัมมาปฏิปทา" ซึ่งเป็นทางที่อยู่ในธรรม ดังที่ทรงแสดงต่อไปโดยพิสดารในเรื่องของ "มรรค" ในอริยสัจ ๔ นั่นเอง การที่จะเข้าใจถึง "ทางสายกลาง" จึงต้องเข้าใจธัมมจักกัปวัตตนสูตรโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ

ดังนั้น "ความเป็นกลาง" หรือ "ทางสายกลาง" จึงไม่ใช่การเพิกเฉย ไม่ใช่การอยู่ตรงกลางระหว่างความสุดโต่ง แต่เป็นการ "อยู่กับความถูกต้อง" ใช้ความถูกต้องเป็นจุดอ้างอิง ฝ่ายที่สุดโต่งนั่นเอง ที่ควรจะปรับเข้าหา "ทางสายกลาง" ไม่ใช่ให้ "ทางสายกลาง" คอยเฉลี่ยไปมา

แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า "ทางสายกลาง" นั้นอยู่ตรงไหน ตรงนี้เองที่จะต้องอาศัยปัญญาในการค้นหา ทำความเข้าใจ และต้องอาศัยกำลังในการเข้าถึงและประคับประคองให้อยู่ในทางสายกลาง กำลังที่ว่านั้นก็คือ พละ ๕ อันประกอบด้วย ปัญญา สมาธิ สติ วิริยะ ศรัทธา ซึ่งท่าน ป. อ. ปยุตฺโต ได้แสดงโดยพิสดารต่อไปในแต่ละอย่าง โดยแยก ปัญญา สมาธิ สติ วิริยะ ให้เป็นกำลังภายใน และ ศรัทธา เป็นกำลังภายนอก

ปัญญา เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้วินิจฉัยถูกผิด นำไปสู่ทางที่ถูกต้อง สมาธิ คือความมั่นคง ไม่หวั่นไหว สติ คือความตื่นตัว รู้ทันสถานการณ์ เปรียบเหมือนนายประตูที่คอยดู คอยจับสิ่งต่าง ๆ ส่งให้ปัญญาพิจารณา วิริยะ คือความเพียร ความเข้มแข็ง ไม่ท้อถอย กำลังต่าง ๆ จะมาแสดงออกที่วิริยะนี่เอง

ทั้งสี่ประการนั้นเป็นกำลังภายใน หากกำลังภายในยังไม่เข้มแข็ง ก็อาจอาศัยกำลังภายนอกมาช่วยเสริม คือ ศรัทธา โดยยึดแบบอย่างจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สถาบัน คำสอน คติต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เสาหลักที่ใหญ่ที่สุดของชาติ คือพระมหากษัตริย์ (ซึ่งอันที่จริงผมนึกขยายไปว่า อาจหมายถึงทั้ง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็ได้) แต่การพึ่งพาแต่เสาหลักนั้นย่อมไม่แน่นหนาเพียงพอ จำเป็นต้องมีเสาหลักรอง ๆ ลงไปช่วยค้ำยันด้วย ได้แก่ คุณบิดา-มารดา หรือสถาบันครอบครัว พ่อแม่เป็นแบบอย่างแก่ลูก เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจของลูก คุณครู-อาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจแก่ศิษย์ คุณวัด ได้แก่สถาบันสงฆ์และศาสนา เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาแก่ศาสนิก และ วัฒนธรรม ได้แก่วัฒนธรรมอันดีของชาติ (ผมมานึกทีหลังว่า ที่ท่าน ป. อ. ปยุตฺโต ยกเรื่องของในหลวงขึ้นก่อนนั้น ความจริงก็อาจแฝงอยู่ในเรื่องวัฒนธรรมนี้อยู่แล้ว และอาจครอบคลุมไปถึงคุณบิดา-มารดาด้วย โดยมองชาติทั้งชาติเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ เรื่องของวัฒนธรรมนี้ก็รวมถึงสถาบันชาติด้วย ส่วนสถาบันศาสนา ก็อยู่ในหัวข้อ "คุณวัด" ข้างต้น เพียงแต่ท่านยกเรื่องของในหลวงขึ้นก่อน ก็เพื่อโน้มนำญาติโยมเข้าสู่เนื้อหา โดยอาศัยการที่ญาติโยมสวมเสื้อเหลืองมาฟังธรรมกันมาก)

ตัวเล่มหนังสือ หาได้ตามร้านหนังสือครับ และเท่าที่ค้นเว็บดู ก็พบฉบับออนไลน์ที่ลงในหนังสือพิมพ์ข่าวสดเป็นตอน ๆ คือ:

และมี คลิปเสียงปาฐกถาธรรม ด้วย

เกี่ยวกับทางสายกลางนี้ มีหลายครั้งที่ผมคิดว่าเกิดความสับสนจนเกิดความขัดแย้งทางความคิดอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่พิจารณาธรรมให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะในการสนทนาธรรมในโอกาสต่าง ๆ การกระทำบางอย่างอย่างสุดกำลัง อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "วิริยะ" คือพยายามสู้อย่างไม่ท้อถอย ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าเป็นความ "สุดโต่ง" หรือ "ยึดมั่นถือมั่น" ควรจะทำให้พอดี ๆ โดยลดลงมาอยู่ใน "ทางสายกลาง" มากกว่า การที่จะวินิจฉัยว่าควรมองแบบไหน ก็จำเป็นต้องใช้ปัญญาแยกแยะ ถ้าการกระทำนั้น ยังคงอยู่ในทางที่ถูกที่ควร ก็น่าจะถือเป็นการดำเนินทางสายกลางด้วยวิริยะ แต่ถ้าเป็นการออกนอกลู่นอกทางไปไกล จึงจะเรียกว่าเป็นความสุดโต่ง และ "วิริยะ" นั้น ก็อาจจะเปลี่ยนเป็น "มานะ" (ความถือตัว) แทน

แต่อย่างไรก็ดี ในหลาย ๆ โอกาส การวินิจฉัยนั้นก็ไม่ได้ทำได้ง่ายนัก จำเป็นต้องอาศัยเหตุและผลต่าง ๆ โดยดูที่เป้าหมายและวิธีการที่จะไปให้ถึงเป็นหลัก ว่ายังคงอยู่ในหนทางแห่งการดับทุกข์หรือไม่

อีกประเด็นหนึ่งคือ พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในนามของ "ทางสายกลาง" อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่ให้ดำเนินทางสายกลางให้ถึงที่สุด เพื่อประโยชน์ในการดับทุกข์ในระดับนิพพาน

อย่างไรก็ดี ปาฐกถาธรรมนี้ ก็ได้ให้แง่คิดอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของ พละ ๕ อันเป็นกำลังสำหรับการปฏิบัติต่าง ๆ ผมพบว่าผมไม่ได้สนใจที่หัวเรื่องของปาฐกถาธรรมมากนัก แต่ก็เป็นประเด็นสำคัญ คือผู้ที่อ่อนแอในพละ ๕ จะมีแนวโน้มที่จะทำอะไรตามใจตัว เพราะกำลังใจอ่อนแอ จึงควบคุมกำลังกายไม่อยู่ และแปรออกมาในรูปของความรุนแรง กลายเป็นปัญหาของสังคม แต่ที่ผมได้จากปาฐกถาธรรมนี้ไม่แพ้กัน คือความชัดเจนในความหมายของ "ทางสายกลาง" มากขึ้น พร้อมทั้งได้แนวทางสำหรับสร้างพละ ๕ สำหรับเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างในปีใหม่นี้

ก็ขอให้ทุกท่านจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ โดยเฉพาะพละ ๕ นี้เทอญ

ป้ายกำกับ: , ,

30 ตุลาคม 2550

Chonburi

อาทิตย์ที่แล้ว ไปเที่ยวชลบุรีกับครอบครัวมา ไปครั้งนี้ดูจะเน้นเที่ยววัดเป็นหลัก รูปชุดที่อัปโหลดนี้เป็นภาพจากวัดญาณสังวราราม วรมหาวิหาร และบริเวณใกล้เคียง คืออเนกกุศลศาลา (วิหารเซียน) และพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา ที่สลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ จบด้วยจิตรกรรมพุทธประวัติที่ดูแปลกตาที่วัดหลวงพ่อดำ

ทริปชลบุรี

ความจริง ได้ไปดูการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนเพื่อการอนุรักษ์ที่ เพอร์คูล่าฟาร์ม มาด้วย แต่เขาห้ามถ่ายรูป เลยไม่มีรูปมาฝาก

และยังมีภาพชาวประมงจับปลาที่บังเอิญได้ไปเห็นตอนเขาทำงานพอดี แต่ขอประหยัดโควต้าของ flickr หน่อยน่ะ

ทริปนี้ เป็นอีกทริปหนึ่งที่รู้สึกไม่จุใจ เพราะมีเวลาน้อยเกินไป โดยเฉพาะที่วิหารเซียนนั้น ศิลปะไทย-จีนชั้นสูงที่นำมาแสดง ดูละลานตาไม่สมกับขนาดพื้นที่ที่เห็นจากภายนอกเลย หวังว่าโอกาสหน้า ถ้าได้ไปกับคอศิลปะวัฒนธรรมจีน คงจะได้เก็บรายละเอียดมากกว่านี้

ทริปนี้เป็นรีเควสต์ของแม่ แต่ทั้งที่ตั้งใจวางแผนจำกัดเรื่องปริมาณแล้ว แต่กลายเป็นว่าเราประเมินสถานที่ต่ำไปจริง ๆ เนื่องจากรีบค้นข้อมูล ไม่มีเวลาสำรวจรายละเอียดมาก (จะค้นแต่ละทีผมต้องผละจากงานไปทำ อีกทั้งมีข้อจำกัดเรื่องเวลาเตรียมการ) ไว้คราวหน้าถ้าจะเที่ยวอีก ต้องวางแผนระยะยาวกว่านี้

ป้ายกำกับ:

14 เมษายน 2550

Phu Kum Khao

สงกรานต์ น้องกลับบ้านมาพร้อมกับชาวต่างชาติ ก็เลยคิดโปรแกรมท่องเที่ยวสไตล์เงียบสงบกัน หลังจากคิดไปคิดมากันหลายตัวเลือก ก็มาลงเอยที่ตัวเลือกที่ผมเสนอ คือไปดูไดโนเสาร์ที่ ภูกุ้มข้าว กาฬสินธุ์ โดยกะว่าไปดูโครงกระดูกไดโนเสาร์สักชั่วโมงสองชั่วโมง ว่ากันว่ามีฟอสซิลไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์กว่า และมีหลายชนิดกว่าที่ภูเวียง ขอนแก่น จากนั้นก็ไปแวะวัดอีกสักแห่งก่อนกลับ

ไปถึงที่บริเวณวัดสักกะวัน ภูกุ้มข้าว (อ. สหัสขันธ์ จ. กาฬสินธุ์) ก็ตรงไปที่หลุมขุดค้น ก็พบว่าเป็นหลุมใหญ่ แม้จะมีเพียงหลุมเดียว ไม่ใช่หลายหลุมอย่างที่ภูเวียง แต่สภาพโครงกระดูกนับว่าสมบูรณ์กว่ามาก ป้ายประกอบบอกว่าเป็นโครงกระดูกของ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosauraus sirindhornae) ซึ่งเป็นซอโรพอดชนิดเดียวกับที่พบที่ภูเวียง และยังมีกระดูกของซอโรพอดในบริเวณเดียวกันอีกอย่างน้อยสามตัว

ดูหลุมขุดค้นเสร็จแล้ว คิดว่าโปรแกรมคงจบลงแค่นี้ แต่ปรากฏว่าคิดผิดถนัด สิ่งที่ดูต่อจากนั้นกลับทำให้เราใช้เวลากับมันหลายชั่วโมงด้วยความทึ่ง จนเลยเวลาอาหารเที่ยงไปไม่รู้ตัว

นั่นคือ พิพิธภัณฑ์สิรินธร ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับธรณีวิทยาแบบครบเครื่อง ตั้งแต่กำเนิดระบบสุริยะและดาวเคราะห์ต่าง ๆ มาจนถึงยุคต่าง ๆ ของวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก คำอธิบายมีทั้งในรูปวีดิทัศน์ ป้ายบรรยาย เสียงแบคกราวด์ ตัวอย่างฟอสซิลในยุคต่าง ๆ แบบจำลองโครงกระดูกไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตในยุคต่าง ๆ ไล่เรียงมาตั้งแต่ยุคพรีแคมเบรียนมาจนถึงยุคสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมครองโลกในปัจจุบัน

ผมผ่านแผนภูมิธรณีกาลที่บรรจงสลักลงบนพื้นหินอ่อนอธิบายภาพรวมของบรมยุค (Eon) มหายุค (Era) ยุค (Period) สมัย (Epoch) ต่าง ๆ เข้าไปยังรายละเอียดของยุคต่าง ๆ รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในมิติของกาลเวลา ทั้งเรื่องการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลกในยุคต่าง ๆ และความเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตบนโลกที่เปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมของทวีป อ่านไปได้ถึงแค่ยุคครีเทเชียส ก็ถูกตาม ว่าคนอื่นไปถึงทางออกกันแล้ว ที่เหลือเลยอ่านแค่ผ่าน ๆ ไม่ได้เก็บรายละเอียดมาก ดูจากแผนผังธรณีกาลใน เอกสารของกรมธรณีวิทยา จะเห็นว่าผมพลาดมหายุค Cenozoic ไปทั้งมหายุคเลยทีเดียว

ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวว่ายอดเยี่ยม ไม่นึกว่าจะมีพิพิธภัณฑ์ชั้นยอดซ่อนอยู่ในที่ห่างไกลขนาดนี้ เข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์จะเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน เพราะคนที่เคยมา ต่างก็บอกว่าไม่เคยมีพิพิธภัณฑ์นี้มาก่อน และดูเหมือนคณะอื่นที่มา ก็จะผิดแผนเรื่องเวลากันเยอะด้วยเหตุผลเดียวกับเรา

ผมทั้งรู้สึกเสียดาย ที่ลืมเอากล้องถ่ายรูปไป ทั้งรู้สึกดีใจที่ลืม เพราะถ้าไม่งั้น คงมีกิจกรรมถ่ายรูปมากินเวลา จนทำให้อ่านเรื่องต่าง ๆ ได้น้อยลงอีก

ก็เป็นอันว่า เที่ยวคราวนี้ จากที่คิดว่าจะแค่ "แวะ" กลับกลายเป็นว่า กินเวลาที่อื่นไปหมดแล้ว ออกมาก็ตรงกลับบ้านเลย แต่ขนาดนั้นก็ยังไม่จุใจ ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสไปอีก ไม่พลาดแน่

ต้องแบบนี้สิ ให้ความรู้ที่แหล่งขุดค้นได้คุ้มค่าจริง ๆ ขอชื่นชมกรมธรณีวิทยามา ณ ที่นี้

ป้ายกำกับ:

hacker emblem