Theppitak's blog

My personal blog.

24 กรกฎาคม 2554

Finally in Banja Luka

บันทึกการเดินทางจากขอนแก่นถึง Banja Luka เพื่อร่วมงาน DebConf11 เป็นการเดินทางที่ลุ้นระทึกตลอดทาง

ปัญหาหลักคือเรื่องวีซ่าเข้าประเทศ เริ่มจากเงื่อนไขสำคัญคือไม่มีสถานทูตบอสเนียในประเทศไทย ถ้าจะขอวีซ่าต้องไปขอที่สถานทูตบอสเนียในมาเลเซีย แต่เผอิญมาติดเงื่อนไขอีกอย่างของผม คือแม่ยังไม่หายเจ็บแขน ยังต้องคอยทำงานต่าง ๆ แทนแม่อยู่ ถ้าจะต้องเดินทางไปไหน จะต้องหาคนมาอยู่แทนให้ได้ก่อน ซึ่งก็ได้พยายามหลายทาง ตั้งแต่คุยกับน้อง ๆ (ซึ่งตอนนี้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมด) ให้มาช่วยอยู่แทน ซึ่งแต่ละคนก็ติดภาระของครอบครัวตัวเองเช่นกัน หรือจะเป็นการพยายามจ้างคนที่ไว้ใจได้มาอยู่แทน แต่สุดท้ายก็ได้น้อง ๆ มาช่วยในช่วงที่ผมมาร่วม DebConf แต่ในช่วงที่ไปขอวีซ่าที่มาเลเซียนั้น ยังไม่สะดวก

เผอิญได้ข้อมูลมาว่าสามารถขอวีซ่าโดยส่งหลักฐานทาง DHL ได้ จึงฝาก อ.กิตติ์ ซึ่งจะไปด้วยกันช่วยดำเนินการให้ ซึ่งฝ่ายวิเทศฯ ของ มข. ก็ช่วยดำเนินการและติดตามผลให้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายจวนถึงวันเดินทาง วีซ่าก็ยังไม่ส่งกลับมา

จึงรีบติดต่อเจ้าภาพ ว่าจะสามารถขอ visa on arrival ได้หรือไม่ ซึ่งเจ้าภาพก็ดีใจหาย ดำเนินการทุกอย่างให้ โดยเข้าใจว่าเขาได้ติดต่อขอวีซ่าสำหรับผู้เข้าร่วมงานทุกคนอยู่แล้ว จึงได้ส่งหลักฐานที่จำเป็นมา ให้เรายื่นต่อสายการบินและ ต.ม. ว่าเราจะได้วีซ่าเมื่อไปถึง

ตัดฉับมาที่สนามบินสุวรรณภูมิคืนวันที่ ๒๑ ก.ค. อ.กิตติ์กับผมลงจากเครื่องบินจากขอนแก่นก็ตรงไปเช็กอินที่ Turkish Airways เพื่อเดินทางไปบอสเนีย ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะให้เราขึ้นเครื่อง!

สาเหตุคือหลักฐานของเราอ่อนเกินไป เป็นเพียงหนังสือของเอกชนว่าได้ยื่นขอวีซ่าให้เราแล้ว แต่ยังไม่มีลายเซ็นรับรองจากรัฐบาลบอสเนียว่าเราจะได้วีซ่าแน่นอน และจากกรณีต่าง ๆ ที่เขาเคยพบในอดีตที่มีการส่งกลับจากวิธีขอวีซ่าแบบนี้ ทำให้เขาต้องปฏิเสธเราเพื่อความแน่ใจ

คืนนั้น อ.กิตติ์ จึงพาไปพักที่โรงแรมใกล้ ๆ สนามบิน และพยายามติดต่อขอหลักฐานเพิ่มเติมจากเจ้าภาพ แต่เวลานั้นที่บอสเนียเลย ๕ โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว จึงต้องรอดำเนินการในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะเริ่มได้ก็ตรงกับเวลาบ่ายโมงในบ้านเราเป็นอย่างเร็ว และเขายังขอหลักฐานเพิ่มเติมของเรา คือสำเนาหนังสือเดินทาง ซึ่งในยามฉุกละหุกอย่างนั้นก็มีแต่ภาพถ่ายจากกล้องมือถือเท่านั้นที่เราทำได้

จากนั้น คืนวันที่ ๒๑ ต่อครึ่งเช้าของวันที่ ๒๒ เราจึงทำได้แต่เพียงนั่งรอ.. ก็อ่านหนังสือหรือทำงานไปตามเรื่อง ผมเองนั่งอ่านภาพถ่ายใบลานอักษรอีสานที่ได้ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ ทั้งอักษรธรรมและไทยน้อย จนสามารถอ่านได้หลายส่วน จึงทยอยปริวรรตเก็บไว้ และทำให้เจอกรณีเพิ่มเติมให้แก้ฟอนต์เพิ่มอีก

ช่วงบ่ายวันที่ ๒๒ หลังจากเช็กเอาต์โรงแรมแล้ว ก็นั่งรออีเมลอยู่ที่ล็อบบี้ จนราวเกือบ ๕ โมงเย็นจึงมีเมลตอบกลับมาพร้อมหนังสือที่มีลายเซ็นเจ้าหน้าที่ เราจึงนำไปพิมพ์ออกกระดาษด้วยบริการของโรงแรม แล้วพยายามโทรติดต่อสายการบิน แต่โครงข่าย DTAC เจ้ากรรมดันมาเสียในช่วงเวลานั้น โทรออกไปไหนไม่ได้เลย แม้แต่โทรหากันเอง จึงตัดสินใจนั่งลีมูซีนของโรงแรมไปสนามบินเลย แล้วไปลุ้นเอาที่เคาน์เตอร์เช็กอินกันเลย

เนื่องจากเป็นเที่ยวบินดึก กว่าเคาน์เตอร์จะเปิดก็สองทุ่ม ก็เดินโต๋เต๋ในสนามบินโดยพยายามทำใจให้ผ่อนคลาย จนเคาน์เตอร์เปิดก็ตรงเข้าไปยื่นหลักฐาน คราวนี้เจ้าหน้าที่ยอมให้เช็กอิน และพยายามหาที่นั่งว่างในเที่ยวบินคืนนั้นให้ โดยบอกให้เราไปถ่ายเอกสารหนังสือรับรองเพิ่มด้วย เพื่อเอาไว้ใช้อีกสองครั้ง คือเมื่อไปเปลี่ยนเครื่องที่อิสตันบูล และอีกครั้งเมื่อไปขอวีซ่าที่ซาราเจโว

เป็นอันอุ่นใจว่าได้ไปแน่ แต่ยังต้องลุ้นต่อว่าจะเจออุปสรรคทำนองนี้ระหว่างทางอีกหรือเปล่า

เกือบตีสามของวันที่ ๒๓ ตามเวลาที่อิสตันบูล อ.กิตติ์กับผมก็ลงเครื่องมารอต่อเครื่องที่จะออกตอนเที่ยงไปซาราเจโว พยายามจะงีบแต่ก็ไม่หลับ นาฬิกาชีวะซึ่งเป็นเวลา ๗ โมงเช้าแล้วมันตื่นตัวเรียบร้อย เลยได้แต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอ เป็นไม่กี่ครั้งที่อ่านหนังสือพิมพ์จนครบทุกหน้า!

เกือบเที่ยง จึงไปขึ้นเครื่อง คราวนี้เจ้าหน้าที่ให้ผ่านโดยง่าย ไม่ถามหาแม้กระทั่งหนังสือรับรองที่ว่านั้น!

ราวเกือบบ่ายสองของวันที่ ๒๓ ตามเวลาที่ซาราเจโว (นาฬิกาชีวะเป็นเวลา ๑ ทุ่ม) พวกเราลงจากเครื่องมาผ่าน ต.ม. อ.กิตติ์ชวนไปติดต่อที่ห้องวีซ่าเลย แต่ห้องปิด จึงมาต่อแถวตรวจหนังสือเดินทางตามปกติ เจ้าหน้าที่ก็คัดแยกให้เรามาขอวีซ่าก่อน เจออุปสรรคอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าเราจะต้องจ่ายค่าวีซ่าเป็นเงิน KM ซึ่งเป็นสกุลเงินของบอสเนียเท่านั้น แต่เราถือแต่เงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐกันมา และขณะนั้นเคาน์เตอร์แลกเงินในสนามบินปิดแล้ว! (สนามบินนานาชาติซาราเจโว ขนาดพอ ๆ กับสนามบินขอนแก่น มีรันเวย์เดียว มีที่จอดเครื่องบินได้ไม่เกินสองลำ และทั้งสนามบินมีเคาน์เตอร์แลกเงินเพียงเคาน์เตอร์เดียว!)

เจ้าหน้าที่บอกว่า จะต้องให้คนบอสเนียมาจ่ายเงินให้เรา จึงโทรติดต่อเจ้าภาพ ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ Banja Luka กัน ถ้าจะเดินทางมาต้องใช้เวลา ๕-๖ ชั่วโมง แต่เจ้าภาพเจรจากับเจ้าหน้าที่จนได้ ว่าให้เราจ่ายค่าวีซ่าไปก่อน แล้วไปเบิกคืนกับเขา โดยพยายามหาแลกเงินกับใครก็ได้ในสนามบินไปก่อน อ.กิตติ์ถือเงินยูโร ผมถือเงินดอลลาร์สหรัฐ (ผมไม่ได้แลกเงินยูโรไป เพราะยังมีเงินดอลลาร์สหรัฐตกค้างจากการไปต่างประเทศครั้งก่อน ๆ ที่ยังไม่ได้แลกคืนอยู่ และเราไม่สามารถแลกเงิน KM จากเมืองไทยได้ ไม่มีธนาคารไหนให้แลก) เงินยูโรมีโอกาสแลกได้สูงกว่า เขาจึงพา อ.กิตติ์ เข้าไปหาแลกเงินจากคนในสนามบิน ก็ได้เงิน KM กลับมาจ่ายค่าธรรมเนียม และในที่สุดเราก็ได้วีซ่า! และได้ประทับตราเข้าเมืองได้ (เป็นอีกครั้งที่อยากใช้คำว่า ปลาบปลื้มน้ำตาไหล)

จากนั้น จึงต้องยอมจ่ายค่าแท็กซี่เป็นเงินยูโรไปก่อน (ซึ่งมีโอกาสโดนโขกสูง) เพื่อไปสถานีรถบัสที่จะไป Banja Luka อ.กิตติ์พยายามหาที่แลกเงินจนได้ โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถแลกเงินได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์ใกล้ ๆ นั้น

บ่ายสามโมงครึ่ง รถบัสออก ทางที่จะไป Banja Luka นั้น ผ่านภูเขาหลายลูก ทิวทัศน์ข้างทางสวยงามน่าดูชมทีเดียว มีเขาเตี้ย ๆ แต่มีเมฆปกคลุมยอดเขาซึ่งหลายแห่งเป็นหน้าผาชัน ชวนให้นึกถึงคำว่า ขุนเขายะเยือก บทกวีของฮั่นชาน มีบ้านคนอยู่ตามเชิงเขาเรียงรายขึ้นไปบนเขาแม้ในที่สูง ๆ คล้ายการตั้งบ้านเรือนของชาวเขาที่เคยเห็นที่ภาคเหนือของไทย และที่สังเกตได้คือ จะเห็นบ้านข้างทางปลูกข้าวโพดในบริเวณบ้านกันเป็นปกติ เป็นแปลงเล็กบ้างใหญ่บ้าง หรือบางบ้านปลูกแค่เป็นแถวคล้ายไม้ประดับ แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับบ้านคนแถวนี้ แปลกดี

ระหว่างทาง บางช่วงมีลำธารสายใหญ่แทรกระหว่างกลางหน้าผาสูงชัน ซึ่งถนนที่เราผ่านนั้นอยู่บนฝั่งหนึ่งของหน้าผานั้น เป็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาพอสมควร

เราชมวิวทิวทัศน์และคุยกันได้แค่ประมาณครึ่งทาง หรืออาจจะไม่ถึงก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะที่เหลือนั้นหลับตลอดทาง อันเนื่องมาจากทางวกวนอ้อมเขา ประกอบกับนาฬิกาชีวะที่ตอนนั้นเลยเวลานอนแล้ว เป็นการหลับที่ไม่เรียกว่าอิ่มได้ เพราะยังคงรู้สึกตัวตื่นในรถเป็นระยะ ๆ ประกอบกับแสงอาทิตย์ข้างนอกที่ไม่มีทีท่าว่าจะมืดลงง่าย ๆ ผมสาบานได้ว่ายังเห็นคนตกปลากันอยู่ในลำธารข้างล่างราวกับเป็นกลางวัน ในขณะที่นาฬิกาในรถบอกเวลาสองทุ่มแล้ว! จนกระทั่งสามทุ่มนั่นแหละ ที่ฟ้าจะเริ่มแดงและมืดลงอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางรถบัสจอดแวะให้เข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ทำให้ได้สังเกตป้ายราคาน้ำมัน ที่นี่น้ำมันดีเซลแพงเท่าน้ำมันเบนซิน โดยดีเซลบางชนิดแพงกว่าด้วยซ้ำ ราคาก็ตกลิตรละ ๒.๓๐ KM ก็ราว ๆ ๕๐ บาท

เกือบสี่ทุ่ม รถบัสส่งเราลงที่สถานี Banja Luka เรานั่งแท็กซี่ต่อมาที่โรงแรมเพื่อเช็กอิน รับคูปองมาทานอาหารเย็นแล้วเข้าห้องพักหลับเป็นตาย นับเวลาเดินทางตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ ก็ราว ๒๘ ชั่วโมง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตจะง่ายขึ้นมากถ้าพยายามขอวีซ่าให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ซึ่งถ้าไม่ติดขัดเงื่อนไขที่ว่าไป ผมก็ควรไปขอวีซ่าที่มาเลเซียตั้งแต่แรก ครั้งนี้นับว่าโชคดีที่มากับผู้มีประสบการณ์การเดินทางอย่าง อ.กิตติ์ ไม่งั้นคงลำบากลำบนกว่านี้มาก

ป้ายกำกับ: ,

3 ความเห็น:

  • 24 กรกฎาคม 2554 เวลา 13:19 , Blogger Sakura แถลง…

    โหดกว่าผมเยอะเลย ของผมแค่ผ่านด่าน ตม. เข้าไปแล้วไม่มีเงินติดตัว เนื่องจากคิดว่าสามารถเข้าไปกดข้างในได้ แต่ก็เกิดปัญหาบางอย่าง แล้ว ตม. ก็ไม่อนุญาตให้ย้อนออกมาข้างนอก อาศัยโชคและดวงเจ็ดแปดตลบ จนสามารถหาเงินได้ก่อนเครื่องออกอย่างหวุดหวิด ออกนอกประเทศนี่มันน่ากลัวจริงๆ นะครับ :-P

     
  • 25 กรกฎาคม 2554 เวลา 22:07 , Blogger satit แถลง…

    โอ้โฮ... ชีวิตช่างลำบากแท้ เป็นอุทธาหรณ์สอนคนที่จะไปบอสเนียครั้งต่อไปว่า อย่าหวังพึ่งวีซ่าที่ขอทางมาเลเซีย โดยการส่งเอกสารทาง DHL
    ขออภัยที่มีส่วนทำให้เกิดความยุ่งยากนะครับ

     
  • 29 กรกฎาคม 2554 เวลา 19:26 , Blogger bact' แถลง…

    ตอนไปลิทัวเนีย ไม่มีสถานทูตในเมืองไทยเช่นกัน
    ในทริปเดียวกันมีไปฮังการีด้วย ก็คิดว่าน่าจะไปขอที่สถานทูตฮังการีในกรุงเทพแทนได้ เพราะมันใช้ร่วมกันได้ เป็นเชงเก้นวีซ่า

    ปรากฏว่าสถานทูตฮังการีบอกว่า ไม่ได้ เพราะว่าเข้าเขตเชงเก้นครั้งแรกที่ลิทัวเนีย และอยู่ลิทัวเนียนานกว่าฮังการี มีทางเดียวคือต้องส่งเอกสารไปทำวีซ่าที่สถานทูตลิทัวเนียในโตเกียว

    (เลยทำให้ต้องยกเลิกการเดินทางไปพนมเปญระหว่างนั้น เพราะไม่มีหนังสือเดินทางติดตัว)

    พอได้วีซ่าแล้ว ไปถึงสนามบิน เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินถามเราว่าจะไปไหน ไปทำไมลิทัวเนีย ไม่มีใครเขาไปกัน เราจะไปทำอะไร
    แล้วทำไมมันดูซับซ้อน ไปขอวีซ่าจากโตเกียว
    เขาสงสัยว่าวีซ่าเราจะเป็นวีซ่าปลอม มีการโทรเรียกหัวหน้าเขามาดูหนังสือเดินทางและวีซ่า
    จากนั้นก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์วีซ่ามาอีก 3 คน เป็นชาวต่างชาติหมดเลย มายืนส่องกล้องดูวีซ่า ดูแล้วดูอีก กว่าจะยอมให้ผ่าน เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงหรืออาจจะมากกว่านั้น ต้องวิ่งไปขึ้นเครื่องกันเลย


    แต่ที่ระทึกว่า คือตอนกลับ
    พี่คนที่ไปทริปเดียวกับ ถูกตม.จับ คดีพรบ.คอมพิวเตอร์ ต้องไปรายงานตัวทันทีที่ขอนแก่น (เขาแจ้งความที่นั่น) ติดต่อทนาย ฯลฯ วุ่นวาย
    แล้วก็นั่งรถไปเป็นเพื่อนพี่เขาด้วยจากสุวรรณภูมิไปขอนแก่น
    เครื่องลงบ่ายสอง สอบสวนเสร็จตีสองครึ่ง
    รวม ๆ เวลาเดินทางออกจากบูดาเปสต์ เปลี่ยนเครื่องที่เฮลซิงกิ มาสุวรรณภูมิ จนไปถึงขอนแก่น ยี่สิบกว่าชั่วโมง :p

    วุ่นหนักที่เมืองไทยนี่แหละ

     

แสดงความเห็น (มีการกลั่นกรองสำหรับ blog ที่เก่ากว่า 14 วัน)

<< กลับหน้าแรก

hacker emblem