Theppitak's blog

My personal blog.

15 เมษายน 2554

Science behind the Songkran Shift

จากที่ได้เขียนถึง การเลื่อนของวันสงกรานต์ ไป โดยได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างปีที่เป็นคาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ที่ตำราสุริยยาตร์ใช้ คือ 365.25875 วัน (ข้อมูลดาราศาสตร์คือ 365.256363004 วัน) กับปีตามปฏิทิน Gregorian ซึ่งยาวเพียง 365.2425 วันเท่านั้น ทำให้วันสงกรานต์เลื่อนออกไปทีละน้อย แล้วปีทั้งสองนี้ต่างกันอย่างไร?

ปฏิทิน Gregorian ที่เราใช้กันอยู่ เป็นปฏิทินสำหรับดูฤดูกาลบนโลก ซึ่งคาบของปีจะอ้างอิงกับ equinox และ solstice โดยจะพยายามให้วันทั้งสี่ตกอยู่ในวันที่เดียวกันทุกปี (อาจมีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลงได้ไม่เกินหนึ่งวัน) ทำให้สามารถบอกฤดูกาลได้จากปฏิทิน ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนบนโลกสามารถวางแผนการเพาะปลูก การปรับตัวกับสภาพอากาศ และอื่น ๆ ได้

ส่วนนิยามของสงกรานต์คือ การโคจรเข้าราศีเมษของดวงอาทิตย์ คือเป็นการอ้างอิงดวงดาวคงที่ คาบของสงกรานต์จึงหมายถึง ปี sidereal คือคาบของการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ในทางดาราศาสตร์

สิ่งที่ทำให้ปฏิทินฤดูกาลแตกต่างจากคาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ก็คือ การควงส่ายของแกนโลก ครับ

โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเองรอบแกนคงที่เหมือนไก่ย่างในเตาอบ แต่มีการหมุนควงของแกนเหมือนลูกข่างด้วย ด้วยอัตราประมาณ 1 องศาต่อ 72 ปี (ตกรอบละเกือบ 26,000 ปี) การหมุนควงนี้ ทำให้ตำแหน่งของ solstice และ equinox มีการเปลี่ยนแปลงตามแนวการเอียงของแกนโลกที่เปลี่ยนไปด้วย โดยทิศทางการควงจะทำให้ solstice และ equinox มาถึงเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการไม่หมุนควง ด้วยเหตุนี้ ปีฤดูกาลจึงสั้นกว่าคาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เล็กน้อย

ด้วยตัวเลข 365.25875 วัน/ปีที่ตำราสุริยยาตร์ใช้ ก็เท่ากับว่าวันสงกรานต์โดยเฉลี่ยจะขยับเพิ่ม 1 วันในระยะเวลา 1 / (365.25875 - 365.2425) = 61.54 ปี และจะน็อครอบปีปฏิทินในเวลา 61.54×365.2425 = 22,476.46 ปี

ผมลองคำนวณวันมหาสงกรานต์และเถลิงศกของ พ.ศ. 25031 (= 2554 + 22477) ก็ได้ว่าอย่างนี้ (สังเกตว่าปีปฏิทินจะเลื่อนไปข้างหน้าหนึ่งปี):

  • วันมหาสงกรานต์: 13 เมษายน 25032, 11:43:48 น.
  • วันเถลิงศก: 15 เมษายน 25032, 15:41:24 น.

แล้วเจอกันครับ ถ้ามนุษย์ยังอยู่ในโลกนี้และสามารถผ่านสงกรานต์หน้าหนาวช่วงธันวามาได้ :)

ป้ายกำกับ: ,

17 กรกฎาคม 2552

22-Jul Solar Eclipse Simulation

อีกไม่ถึงสัปดาห์ก็จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง 22 ก.ค. ซึ่งยาวนานที่สุดในศตวรรษแล้ว เลยจำลองปรากฏการณ์ล่วงหน้าเสียหน่อย

Stellarium มีสคริปต์สาธิตให้เลย

Stellarium solar eclipse script

ตำแหน่งขณะบังเต็มที่ เมื่อสังเกตที่ขอนแก่น ไม่ได้บังจนมืดตามรูป เพราะเมืองไทยเห็นแค่สุริยุปราคาบางส่วนเท่านั้น แต่ผมเอาบรรยากาศออก เพื่อดูกลุ่มดาวข้างเคียง

Celestia ก็ให้มุมมองจากนอกโลก

setup เริ่มแรกขณะเริ่มบัง ในระยะที่เห็นดวงจันทร์

เซ็ตตำแหน่งและเวลาต่าง ๆ แล้ว ก็เก็บเป็น Clestia URL (คลิกแล้วอาจต้องเลือกให้เปิด URL ด้วย celestia หรือจะใช้วิธี copy URL ไปใช้ใน celestia ก็ได้) และอัดเป็น วิดีโอ (OGG) ไว้ ซึ่งจะทำให้เห็นเส้นทางของเงาที่เคลื่อนผ่านบนผิวโลกแบบต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ ก็เขียนบทความอธิบายวิธีเตรียมไว้ที่ debianclub ด้วย

Update: เพิ่มรูปของ celestia

ป้ายกำกับ:

13 พฤษภาคม 2552

Special Relativity (cont.)

ไหน ๆ ก็ได้เริ่มไปแล้ว ก็เขียนต่อเลยละกัน เพื่อไม่ให้ค้างคา (ค้างไว้หลาย thread แล้วใน blog นี้ ชักไม่ดี)

ความหมายของสมการต่าง ๆ ในสัมพัทธภาพพิเศษที่ไล่เรียงไปใน blog ที่แล้ว ก็หมายความว่า เมื่อความเร็วสัมพัทธ์สูงขึ้น:

  • เวลาของผู้เคลื่อนที่ที่สังเกตได้จะเดินช้าลง ช้าลง จนหยุดเดินที่ความเร็วแสง
  • ความยาวของผู้เคลื่อนที่ที่สังเกตได้จะหดลง หดลง จนกลายเป็นศูนย์ที่ความเร็วแสง
  • มวลของผู้เคลื่อนที่ที่สังเกตได้จะมากขึ้น มากขึ้น จนเป็นอนันต์ที่ความเร็วแสง (ลักษณะกราฟเป็น asymptote ลู่เข้าหาเส้นตั้ง v = c)
  • พลังงานสะสมในผู้เคลื่อนที่จะแปรผันตรงกับมวลที่เพิ่มขึ้น ยิ่งใกล้ความเร็วแสง จะยิ่งใช้พลังงานสูงขึ้นในการเพิ่มระดับความเร็ว จนกระทั่งใช้พลังงานเป็นอนันต์ถ้าจะให้ได้ความเร็วแสง

นั่นหมายความว่า วัตถุทั่วไปจะเคลื่อนที่ได้เร็วต่ำกว่าความเร็วแสงเสมอ แต่ก็มีอนุภาคชนิดหนึ่งที่สามารถมีความเร็วเท่าแสงได้ ตามสมการ:

E2 - p2c2 = m02c4

ถ้า m0 = 0 หรือมวลนิ่งเป็นศูนย์ จะได้ E = pc หรือ mc2 = (mv)c ก็จะได้ว่า v = c กล่าวคือ อนุภาคนี้ก็คือโฟตอนของแสงนั่นเอง โดยโฟตอนจะมีมวลนิ่งเป็นศูนย์ และจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงเสมอในกรอบอ้างอิงเฉื่อย เปลี่ยนความเร็วไม่ได้ (ตามสัจพจน์ข้อ 2) และที่ความเร็วนี้ โฟตอนจะมีโมเมนตัม คือมีคุณสมบัติของอนุภาค ซึ่งจะไปเชื่อมโยงกับทฤษฎีควอนตัมที่จะอธิบายอีกที ว่าพลังงานของอนุภาคนี้ จะมีค่าเป็นขีดขั้น เป็นสัดส่วนโดยตรงกับความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

แต่ด้วยสมการเดียวกันนี้ ก็ได้มีผู้ตั้งทฤษฎีของอนุภาคที่เร็วกว่าแสง คือ เตคีออน (Tachyon) โดยอนุภาคนี้จะมีมวลนิ่งเป็นจำนวนจินตภาพ และจะทำให้สมการต่าง ๆ ในสัมพัทธภาพพิเศษยังคงเป็นจริงได้โดยที่ v > c แต่ก็ทำนองเดียวกับโฟตอน คือเตคีออนจะไม่สามารถข้ามพรมแดนความเร็วแสงได้ เร็วกว่าแสงยังไงก็ต้องเร็วกว่าแสงอยู่อย่างนั้น แต่ระหว่างเตคีออนด้วยกันเองแล้ว ความเร็วสัมพัทธ์ระหว่างกันก็ยังไม่เกินความเร็วแสงอยู่ดี (ยังเป็นไปตามสมการสัมพัทธภาพพิเศษทุกอย่าง) ต้องสังเกตจากผู้ที่ช้ากว่าแสงจึงจะเห็นว่าเร็วกว่าแสง โดยจะมีปรากฏการณ์แปลก ๆ เช่น จะไม่เห็นตัวเตคีออนก่อนที่มันจะมาถึง และเมื่อมันผ่านหน้าเราไปแล้ว เราจะเห็นภาพของมันแยกเป็นสองส่วนพร้อมกัน คือภาพในอดีตก่อนที่มันจะมาถึงส่วนหนึ่ง และภาพที่มันได้ผ่านหน้าเราไปแล้วอีกส่วนหนึ่ง

ปัจจุบัน เตคีออนยังคงเป็นเพียงอนุภาคในทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่มีการทดลองใดยืนยันการมีอยู่ของเตคีออนได้

ข้อสังเกตของผม: ถ้าเตคีออนมีจริง คนในโลกเตคีออนก็จะสังเกตเราว่าเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงเหมือนกัน เราเองก็จะเป็นเตคีออนสำหรับเขา ซึ่งตามทฤษฎี เราจะไม่สามารถส่งสัญญาณใด ๆ ไปยังโลกของเขาได้ เหมือน ๆ กับที่เขาไม่สามารถส่งสัญญาณใด ๆ มายังโลกของเราได้ ความเป็นไปได้จึงเป็นทั้ง 1) เตคีออนไม่มีจริง เนื่องจากทฤษฎีบอกว่าเตคีออนไม่เสถียร แต่เรารู้ว่าโลกเราเสถียร ดังนั้นเราไม่สามารถเป็นเตคีออนสำหรับอีกโลกหนึ่งได้ 2) เตคีออนมีจริง แต่ไม่สามารถส่งสัญญาณใด ๆ ข้ามพรมแดนมายังโลกของเราได้

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเคยถกกับเพื่อนสมัย ม.ปลาย แล้วก็ติดกับดักอยู่นานเหมือนกัน คือเรื่อง ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ของแสง เราเคยเรียนเรื่องปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ของเสียงมาแล้วตอน ม.ปลาย แล้วก็ได้สมการคำนวณความถี่ของเสียงขณะแหล่งกำเนิดเสียงวิ่งเข้าหาหรือวิ่งออกจากตัวเรา อยู่ในรูปของความเร็วสัมพัทธ์ของเสียงเทียบกับแหล่งกำเนิด และความเร็วสัมพัทธ์ของเสียงเทียบกับผู้สังเกต ซึ่งตรงนี้เป็นทฤษฎีที่พัฒนาสำหรับคลื่นกล (mechanical waves) ที่อาศัยตัวกลางทั่วไป แต่เมื่อมาเรียนรู้ทฤษฎีสัมพัทธภาพว่าแสงมีความเร็วเท่ากันหมดทุกทิศทาง แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังพบว่ามีปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ของแสงในลักษณะ red shift และ blue shift อยู่ กลายเป็นข้อสงสัยอย่างมากระหว่างผมและหมู่เพื่อนในเวลานั้น เพราะถ้าแสงเคลื่อนที่เร็วเท่ากันทุกทิศทาง ก็ไม่ควรจะมีความต่างของความถี่จากปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ได้

กับดักแรกพอจะถอดออกได้ด้วยความคิดที่ว่า แสงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากันทุกทิศทางก็จริง แต่ความถี่ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน คาบการสั่นของแสงสามารถยืดออกได้เมื่อสังเกตจากกรอบอื่นที่เคลื่อนที่สัมพัทธ์กัน แต่ก็ยังไม่ทำให้หลุดจากกับดักอยู่ดี เพราะถ้าคิดแบบนี้ ก็จะมีแต่ red shift จากการยืดของเวลาอย่างเดียว ไม่ควรมี blue shift

โชคดีที่ตอนนั้นผมไปเจอในหนังสือฟิสิกส์ของพ่อ อธิบายเรื่องดอปเพลอร์ของแสงพอดี การวิเคราะห์ดอปเพลอร์ของแสงนั้น ต้องกลับไปที่พื้นฐานการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์เลย เด็ก ม.ปลาย อย่างผมกับเพื่อนในตอนนั้นติดกับดักของสูตรสำเร็จเข้าแล้ว (ทั้งที่ก๊วนผมนิยมการ derive และไม่ชอบการท่องสูตรสำเร็จ แต่กับเรื่องนี้มันลึกไปหน่อยสำหรับเด็ก)

แต่การคำนึงถึงการยืดของคาบคลื่นแสงก็เป็นการคลำทางที่ถูก คือมันก็มีส่วนในการวิเคราะห์ แต่เราไม่ได้สนใจเรื่องการเคลื่อนที่ของแหล่งกำเนิดแสง ในแง่ที่ถ้ามันเคลื่อนที่เข้าหาเรา ระยะทางที่คลื่นลูกถัดไปจะเคลื่อนเข้าหาเรามันสั้นลงจากการกระเถิบตำแหน่งของแหล่งกำเนิดแสงเข้ามา และถ้ามันเคลื่อนออกจากเรา คลื่นลูกถัดไปก็จะปล่อยจากตำแหน่งที่ไกลออกไปทำให้แสงต้องเดินทางไกลขึ้นกว่าจะมาถึงเรา

แสงยังคงเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเท่ากันทุกทิศทางนั่นแหละ แต่ระยะทางที่เปลี่ยนไปเพราะการกระเถิบเข้าใกล้หรือออกห่างตัวเราของแหล่งกำเนิดแสงนั่นเอง ที่ทำให้ลูกคลื่นแสงเคลื่อนมาถึงเราถี่มากขึ้นหรือน้อยลง เรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานมากสำหรับปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ แต่ผมก็ละเลยมันไปในตอนนั้น

ก็เป็นอันหลุดพ้นกับดัก และเข้าใจดอปเพลอร์ในบริบทของสัมพัทธภาพได้ ส่วนการ derive สมการนั้น ก็อ่านเอาได้จากตำราฟิสิกส์ หรือถ้าเป็นสมัยนี้ วิกิพีเดีย อยู่ใกล้กว่าห้องสมุดเสียอีก

ป้ายกำกับ:

11 พฤษภาคม 2552

Special Relativity

อ่านเว็บ ชูศรี บ่อยแล้วชักครึ้ม ต่อมวิทย์แตก อยาก blog แนววิทย์ซะมั่ง

ผมเคยถูกน้องคนหนึ่งถาม "พี่เคยอ่านหนังสือพวก popular science หรือเปล่า?" ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร พอเจอศัพท์ใหม่ที่ไม่รู้จัก นึกว่าเป็นวิทยาศาสตร์สาขาใหม่ เลยตอบเขาไปว่า "ไม่เคย" หลังจากนั้นถึงมาเข้าใจภายหลัง ว่าเรื่องอย่างฟิสิกส์ยุคใหม่ ว่าด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพและควอนตัมนี่แหละ เป็นหนึ่งใน popular science ที่เขาว่า อืม งั้นอาจต้องเปลี่ยนคำตอบใหม่ ผมเคยอ่านทั้งในแง่ที่มันเป็น popular science และในแง่ที่มันเป็น hard core science คือว่ากันในระดับตำราที่ derive สูตรให้ดู

ในแง่ความเป็น popular science นั้น ทฤษฎีสัมพัทธภาพถูกตีความไปเรื่อยเปื่อยมาก เพราะมันเป็นเรื่องที่ขัดกับสามัญสำนึกในระดับหนึ่ง คำพูดแบบหนึ่งที่ได้ยินแล้วรู้สึกคัน คือบอกว่า ที่แสงกลายเป็นขีดความเร็วสูงสุด เป็นเพราะมนุษย์ใช้แสงในการมอง ถ้ามนุษย์มีประสาทสัมผัสอย่างอื่น ทฤษฎีฟิสิกส์ของมนุษย์ก็จะเปลี่ยนไป

ความเป็น popular science นั้น ทำให้ไม่สามารถเจาะลึกได้ ว่าผู้พูดเข้าใจตัวทฤษฎีในระดับไหน จริงอยู่ สามารถมีทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ล้มล้างทฤษฎีเก่าได้อยู่เสมอ แต่ถ้าผู้พูดเข้าใจแค่ว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพเกี่ยวเนื่องกับ "วิธีสังเกตการณ์" ของมนุษย์เท่านั้น ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด

ความจริงแล้ว เรื่องที่ผู้คนในวงสนทนา popular science สนใจกันน้อย คือที่มาของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ว่ามันไม่ใช่ทฤษฎีที่เกี่ยวกับแสงโดยตรง แต่พัฒนามาจากทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ โดยแสงเป็นเพียงกรณีเฉพาะกรณีหนึ่งเท่านั้น

ไล่ลำดับเหตุการณ์ก่อน

  • James Clerk Maxwell (ต้องเป็นแรงบันดาลใจของชื่อกัปตัน James T. Kirk ใน Star Trek แน่ ๆ) ได้สร้าง ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นสมการสี่สมการจากกฎของเกาส์ กฎของฟาราเดย์ และกฎของแอมแปร์ พร้อมทั้งได้เสนอโมเดลของการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กและไฟฟ้าเป็นทอด ๆ กลายเป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ไปได้เองในอวกาศโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง และยังได้คำนวณอัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในเทอมของ electric permittivity และ magnetic permeability ไว้ด้วย ได้เป็นค่าคงที่ค่าหนึ่ง
  • อีกด้านหนึ่ง เรื่องของคุณสมบัติความเป็นคลื่นของแสง ก็มีการศึกษากันมาตั้งแต่ยุคของนิวตัน โดยมีการวัดอัตราเร็วแสงที่แม่นยำขึ้นเรื่อย ๆ และเข้าใกล้อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แมกซ์เวลล์คำนวณไว้ จึงมีการสรุปในที่สุดว่า แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
  • ในอีกด้านหนึ่ง มีการตั้งทฤษฎี อีเทอร์ ซึ่งเป็นตัวกลางของแสงในอวกาศ เพราะพยายามจะมองคลื่นแสงเหมือนคลื่นกลทั่วไป แต่ปรากฏว่าพบคุณสมบัติเชิงกลอันแปลกประหลาดของอีเทอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ การทดลองต่าง ๆ มาถึงจุดหักเหที่ การทดลองของไมเคิลสัน-มอร์เลย์ ซึ่งตรวจวัดอัตราเร็วแสงในทิศต่าง ๆ อย่างละเอียดในกรอบเฉื่อยที่เคลื่อนที่ ปรากฏว่าได้ค่าเท่ากันหมด จึงสรุปในที่สุดว่าไม่มีอีเทอร์
  • วงการฟิสิกส์ในขณะนั้นจึงมาถึงทางสามแพร่ง เนื่องจากทฤษฎีที่เกี่ยวกับคลื่นกลที่พัฒนามาทั้งหมดจะใช้ไม่ได้กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์เมื่ออยู่ในกรอบอ้างอิงที่เคลื่อนที่ กล่าวคือ ถ้าสัมพัทธภาพแบบกาลิเลโอถูกต้อง อัตราเร็วของแสงในทิศทางต่าง ๆ เทียบกับการเคลื่อนที่ ควรจะวัดได้ไม่เท่ากันในกรอบที่เคลื่อนที่นั้น ซึ่งถ้าวัดได้ไม่เท่ากัน ก็หมายความว่าทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ใช้ไม่ได้ทันทีที่มีการเคลื่อนที่ แต่ถ้ายึดทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ว่าเป็นจริงในทุกกรอบอ้างอิง ก็จะขัดกับหลักความเร็วสัมพัทธ์แบบกาลิเลโอ
  • ด้วยผลการทดลองของไมเคิลสัน-มอร์เลย์ที่ยืนยัน และด้วยตรรกะต่าง ๆ ที่ไอน์สไตน์วิเคราะห์ ทำให้ไอน์สไตน์ต้องเลือกเอาทฤษฎีของแมกซ์เวลล์ และรื้อหลักสัมพัทธภาพของกาลิเลโอ โดยเริ่มจากการตั้งสัจพจน์ข้อแรก ว่า "กฎทางฟิสิกส์ใด ๆ ที่เป็นจริงในกรอบอ้างอิงเฉื่อยหนึ่ง ต้องเป็นจริงในทุกกรอบอ้างอิงเฉื่อย" โดยมีความคิดพื้นฐาน ว่าไม่มีใครหยุดนิ่งอย่างแท้จริง ทุกสิ่งต่างเคลื่อนที่สัมพัทธ์กับสิ่งอื่น และในการทดลองต่าง ๆ ที่ผ่านมา ก็ล้วนอยู่ในกรอบเฉื่อยทั้งนั้น
  • ความจริง สัจพจน์ข้อแรก เมื่อรวมกับทฤษฎีของแมกซ์เวลล์ ก็จะทำให้ imply ถึงอัตราเร็วแสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่น ๆ ในกรอบเฉื่อยอยู่แล้ว แต่เพื่อความแน่นหนาของตัวทฤษฎี ไอน์สไตน์จึงตั้งสัจพจน์ข้อสองขึ้นด้วย ว่า "อัตราเร็วของแสงจะคงที่เสมอในกรอบอ้างอิงเฉื่อยใด ๆ โดยไม่ขึ้นกับการเคลื่อนที่ของแหล่งกำเนิดแสง" โดยจะเห็นว่า นัยของสัจพจน์ข้อนี้ไม่ได้ครอบคลุมแค่แสงเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยทั่วไปด้วย

จากสัจพจน์ทั้งสองข้อที่ตั้งขึ้น ไอน์สไตน์จึงเริ่มสร้างโมเดลใหม่ของสัมพัทธภาพ เพื่อแทนที่หลักสัมพัทธภาพแบบกาลิเลโอ

  • เมื่ออัตราเร็วแสงเป็นสิ่งสัมบูรณ์ การสังเกตเหตุการณ์ในกรอบที่เคลื่อนที่จึงสามารถใช้แสงเป็นตัวอ้างอิงในการวัดข้ามกรอบได้ ถ้าคนในกรอบที่เคลื่อนที่ยิงแสงออกไปในแนวตั้งฉากกับการเคลื่อนที่ คนในกรอบนั้นจะเห็นแสงเคลื่อนที่แค่ในระยะตั้งฉากนั้น แต่เราซึ่งสังเกตอยู่ข้างนอก จะเห็นแสงนั้นเคลื่อนในระยะของด้านตรงข้ามมุมฉากที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของเขาประกอบด้วย เมื่อเหตุการณ์เดียวกัน เราสังเกตเห็นแสงเดินทางยาวขึ้น จึงใช้เวลานานขึ้น ถ้าเราทำการทดลองยิงแสงแบบเดียวกันในกรอบของเราเทียบกัน เราจะสังเกตได้ว่าเหตุการณ์ในกรอบของเขากินเวลานานกว่า คือเห็นนาฬิกาเขาเดินช้ากว่านั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เวลาจึงเป็นสิ่งสัมพัทธ์
  • ระยะทางก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์ สมมุติว่าเราจะวัดความยาวของตู้รถไฟที่วิ่งผ่านหน้าเรา ด้วยการจับเวลาตั้งแต่หน้าตู้ผ่านหน้าเราจนถึงหลังตู้ผ่านหน้าเรา แล้วคูณเวลาด้วยอัตราเร็วของรถไฟ ก็จะได้ความยาวของตู้รถไฟ โดยขณะเริ่มและหยุด ก็ยิงแสงไฟให้สัญญาณกับคนบนรถไฟด้วย เพื่อให้วัดเทียบกัน ซึ่งเขาจะบอกค่าเวลาระหว่างที่เขาเห็นแสงไฟสองครั้ง ยาวกว่าค่าที่เราวัดได้ เพราะเขาเองก็เห็นเราเคลื่อนที่ และเห็นนาฬิกาของเราเดินช้ากว่าของเขาเหมือนกัน ฉะนั้น ความยาวตู้ที่วัดในกรอบของเขา (ซึ่งเป็นความยาวจริงขณะหยุดนิ่ง) จึงยาวกว่าที่วัดได้ในกรอบของเรา หรือพูดอีกอย่างก็คือ เราวัดระยะทางในกรอบเฉื่อยที่เคลื่อนที่ได้ค่าสั้นลงจากที่วัดในกรอบนั้น
  • ไอน์สไตน์อาศัยหลัก การแปลงพิกัดของลอว์เรนซ์ ในการสร้างสมการเกี่ยวกับระยะทาง เวลา และความเร็วสัมพัทธ์ จนได้ข้อสรุปสำหรับจลนศาสตร์ (kinematics) ว่า ความเร็วสัมพัทธ์ระหว่างกรอบอ้างอิงเฉื่อยใด ๆ จะมีค่าไม่เกินความเร็วแสง
  • สำหรับจลนพลศาสตร์ (kinetics) ไอน์สไตน์ก็ derive ต่อไปจากโมเมนตัมที่เกิดจากความเร็วสัมพัทธ์ จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า มวลก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์เช่นกัน โดยมวลสัมพัทธ์จะเพิ่มขึ้นตามความเร็วสัมพัทธ์ และจะเป็นค่าอนันต์ที่ความเร็วแสง
  • สมการพลังงานจลน์ก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อคำนวณงานที่ต้องใส่เพื่อให้วัตถุมีความเร็วค่าหนึ่ง ซึ่งทำให้ทั้งมวลสัมพัทธ์และความเร็วสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น ปรากฏว่าได้ผลที่น่าประหลาดใจ คือพบว่างานที่ใส่ไปนั้น มีความสัมพันธ์กับมวลสัมพัทธ์ คือ E = mc2 - m0c2 ซึ่งทำให้สามารถอนุมานต่อไปได้ ว่าแม้มวลอยู่นิ่ง ก็มีพลังงานอยู่แล้วเท่ากับ E0 = m0c2 กลายเป็นสมการสมมูลมวล-พลังงานบันลือโลกนั่นเอง

(ขออภัยที่บรรยายเป็นตัวหนังสือล้วน ๆ เนื่องจากขี้เกียจวาดรูป วาดสมการ)

จากที่ไล่มาทั้งหมด จึงย้อนกลับไปที่คำถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรไหมกับเรื่องประสาทสัมผัสของมนุษย์ที่ต้องใช้แสง? จะเห็นว่าไม่เกี่ยวเลย แสงเป็นแค่กรณีเฉพาะกรณีหนึ่งของปรากฏการณ์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันเป็นที่มาของทฤษฎีเท่านั้น โดยบังเอิญว่าแสงเป็นเทอมที่พูดแล้วเข้าใจง่าย จินตนาการง่าย เอามาสร้างการทดลองให้วัดได้ง่ายเท่านั้นเอง

เรื่องนี้พูดแล้วยาว.. ไว้มีเวลาค่อยกลับมาเขียนเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องต่อ..

ป้ายกำกับ:

04 พฤษภาคม 2552

GPeriodic Patch Resurrection

เมื่อปีกลายเคย ทำแพตช์สำหรับ gperiodic ไว้ ซึ่งปรากฏว่า Debian รับแพตช์ไป 3 ใน 4 เหลือแพตช์สุดท้ายที่ปรับหน้าตา (มี screenshot ใน blog เก่าที่ว่า) ซึ่งเขาอยากจะติดต่อ upstream (ซึ่งผมคาดว่าเลิกทำไปแล้ว) ก่อน

แพตช์นั้นอยู่ในฮาร์ดดิสก์เก่าที่พังไปแล้ว ตอนนั้นก็ build deb ไว้ใช้เอง deb ก็หายไปกับฮาร์ดดิสก์เหมือนกัน แต่โชคดีที่ได้ส่งแพตช์ไปที่ Debian #214493 ไว้ เลยไปดูดกลับมาใช้ได้ ส่วนงานแปลที่ทำไปเกือบเสร็จแล้วนั้น เผอิญยังไม่ได้ส่งแพตช์ไปในตอนนั้น แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปไม่ได้ตามอีก ก็เป็นอันว่าหายสาปสูญอย่างถาวร

เพื่อเป็นมาตรการเพิ่มเติม เลยทำ deb ที่แพตช์แล้ว แล้วอัปโหลดเข้า Debclub ก้านกล้วย เอาไว้ เพื่อให้ติดตั้งกันได้สะดวกด้วย

ส่วนแพตช์จะได้เข้า Debian หรือ upstream หรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป

ป้ายกำกับ: , ,

02 ธันวาคม 2551

The Smiling Moon

ไม่ได้ blog เรื่องวิทยาศาสตร์-ดาราศาสตร์เสียนาน จนกระทั่งเกินพระจันทร์ยิ้มเมื่อคืนนี้ ก็โชคดี เก็บรูป ได้นิดหน่อย

โอกาสเก็บรูปปรากฏการณ์จริง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่หวนกลับมาอีก เป็นประสบการณ์ที่ยากจะพบอีกครั้ง เพราะดาวเคียงเดือนแต่ละครั้ง ไม่บ่อยนักที่จะมีดาวมาเคียงถึงสองดวง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาจัดเรียงหันข้างจนเป็นรูปหน้ายิ้มได้อย่างนี้

เพื่อดูว่าช่วงเวลาที่พระจันทร์ยิ้มนั้น สั้นแค่ไหน ก็ลองจำลองด้วย stellarium ดู โดยอาศัยพิกัดจังหวัดขอนแก่น (ประมาณ 16.11 องศาเหนือ 102.84 องศาตะวันออก) เป็นจุดสังเกตการณ์:

วันที่ 30 พ.ย. เวลา 19.10 น.

เป็นคืนขึ้น 3 ค่ำ ดวงจันทร์หันด้านสว่างไปทางตะวันตก และกำลังโคจรออกจากแนวสุริยุปราคา หรือมองจากโลกก็คือผละออกจากดวงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันออก ในรูปนี้แสดงท้องฟ้าทางทิศตะวันตกในช่วงเวลาที่ดวงจันทร์กำลังจะตกจากขอบฟ้าตามดวงอาทิตย์ไป แต่ถ้าตัดการหมุนรอบตัวเองของโลกออกไปแล้ว ดวงจันทร์กำลังโคจรขึ้นไปหาดาวศุกร์และดาวพฤหัสที่อยู่ด้านบน (ทางทิศตะวันออก) โดยหันเสี้ยวด้านสว่างลงด้านล่าง (ทางทิศตะวันตก)

Stellarium shot for 2008-11-30 19:10 +0700

วันที่ 1 ธ.ค. เวลา 05.12 น.

เราตามดวงจันทร์ที่ตอนนี้ไปโผล่ที่อีกซีกโลกหนึ่ง และเตรียมจะขึ้นทางทิศตะวันออกในตอนสายต่อไป รูปนี้มองจากขอนแก่นเหมือนเดิม โดยตัดพื้นโลกแล้วมองทะลุโลกลงไป ตอนนี้ดวงจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้ดาวทั้งสองมากขึ้น ถ้าคนที่อเมริกาดูดวงจันทร์ยามเย็นทางทิศตะวันตกในตอนนี้ ก็คงพอจะเห็นเค้าหน้ายิ้มที่เรียวยาวมาก ๆ ได้

Stellarium shot for 2008-12-01 05:12 +0700

วันที่ 1 ธ.ค. เวลา 12.00 น.

ทิ้งช่วงมาอีกราว 7 ชั่วโมง หลังจากดวงจันทร์ขึ้นไปแล้วในตอนสาย ตอนนี้ไต่ท้องฟ้าขึ้นมาทางตะวันออกเฉียงใต้ มุมเงยประมาณ 30 องศา ระยะห่างจากดาวทั้งสองลดลงเรื่อย ๆ เป็นการแอบเตรียมการแสดงคืนนี้ โดยอาศัยแสงอาทิตย์เวลากลางวันบังไว้

Stellarium shot for 2008-12-01 12:00 +0700

วันที่ 1 ธ.ค. เวลา 18.15 น.

Show Time! เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ดาวทั้งสามที่กำลังจะตกตามไปด้วยทางทิศตะวันตกก็เริ่มปรากฏโฉม เผยรอยยิ้มกริ่มให้ชาวเอเชียได้ชมเป็นบุญตา ที่มุมเงยประมาณ 25 องศา

Stellarium shot for 2008-12-01 18:15 +0700

วันที่ 1 ธ.ค. เวลา 20.23 น.

Bye Bye Thailand ภาพสุดท้ายที่พระจันทร์ยิ้มปรากฏให้ชาวไทยได้ยลโฉม ก่อนที่จะลับขอบฟ้าไป ตอนนี้หน้ายิ้มเริ่มกลมป้อมขึ้น เพราะดวงจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้ดาวทั้งสองมากขึ้น 2-3 ชั่วโมงเศษที่ผ่านมา คือเวลาที่เรามีสำหรับเก็บภาพประวัติศาสตร์นี้!

Stellarium shot for 2008-12-01 20:23 +0700

วันที่ 1 ธ.ค. เวลา 23.51 น.

The End ดวงจันทร์เคลื่อนเข้าแทรกกลางระหว่างดาวทั้งสอง สิ้นสุดการยิ้มครั้งนี้ ถือว่าชาวโลกที่อยู่ในเขตเวลาประมาณ GMT+01 คือแถว ๆ เยอรมนี อิตาลี เป็นเขตสุดท้ายที่จะทันเห็นช่วงสุดท้ายของการยิ้ม

Stellarium shot for 2008-12-01 23:51 +0700

วันที่ 2 ธ.ค. เวลา 05.21 น.

หลังจากที่ดวงจันทร์เคลื่อนเข้าไปตรงกลางระหว่างดาวสองดวงแล้ว ก็จะเคลื่อนต่อไปเหมือนเดิม กลายเป็นหน้าบึ้งกลับหัว รูปนี้เป็นการจัดเรียงของดาวทั้งสามที่เวลาใกล้รุ่ง ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น เป็นการมองทะลุพื้นโลกลงไปยังท้องฟ้าของอเมริกา น่าเสียดายที่คนซีกโลกนั้นต้องได้เห็นพระจันทร์หน้าบึ้ง (กลับหัว) หรือพระจันทร์ขมวดคิ้วแทน (มองโลกในแง่ดี ว่านี่คือหน้าท่านเปาบุ้นจิ้นที่มีวงเดือนเสี้ยวที่หน้าผากก็ได้)

Stellarium shot for 2008-12-02 05:21 +0700

วันที่ 2 ธ.ค. เวลา 12.09 น.

ระหว่างกลางวันที่แอบซ่อนในแสงแดด ดวงจันทร์ก็เคลื่อนห่างจากดาวทั้งสองออกไปเรื่อย ๆ

Stellarium shot for 2008-12-02 12:09 +0700

วันที่ 2 ธ.ค. เวลา 18.23 น.

แล้วคืนนี้เราจะเห็นอะไร? พระจันทร์ตีลังกาหน้าบึ้งเหรอ? คิดว่าไม่ เพราะดวงจันทร์ได้เคลื่อนห่างจากดาวทั้งสองไปมาก จนมองเป็นรูปหน้าได้ยากแล้ว หรือถ้าจะพยายามมอง ก็คงต้องมองกว้างหน่อย

Stellarium shot for 2008-12-02 18:23 +0700

ฟู่.. กว่าจะเขียนจบ เล่นเอาหลายชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเขียนยากหรือ simulate ยากหรอก แต่ตั้งแต่เริ่มเขียนจนเขียนเสร็จ ต้องลุกไปทำโน่นทำนี่หลายเรื่อง เลยเขียนได้ไม่ต่อเนื่อง..

ป้ายกำกับ: ,

30 มิถุนายน 2551

GPeriodic New Look

เมื่อวาน เขียนถึง การแก้ GPeriodic ไปในตอนท้าย คร่าว ๆ ที่ทำคือ:

  • Debian #488461 update ชื่อและข้อมูลน้ำหนักอะตอมของธาตุที่ 110 (Uun) เป็น Darmstadtium และธาตุที่ 111 (Uuu) เป็น Roentgenium
  • Debian #488469 แก้ไอคอนในเมนูให้สอดคล้องกับ GTK+ app ทั่วไป

เมื่อคืนมีอีกรายการที่ทำเพิ่ม คือ follow up Debian #214493 ซึ่งเป็น wishlist bug เสนอปรับรูปแบบของตารางให้ใกล้เคียงกับตารางธาตุจริง ที่มีรายละเอียดพวกเลขอะตอม น้ำหนักอะตอม ฯลฯ เลยเสนอ patch ไป ซึ่ง patch นี้จะเปลี่ยนหน้าตาของ gperiodic จากแบบนี้:

GPeriodic, before

เป็นแบบนี้:

GPeriodic, after

เช้านี้ แถมอีกด้วย Debian #488612 ที่ปรับการเรียก API ที่ deprecate แล้ว ให้มาใช้แบบใหม่

ติดต่อไปที่ upstream แล้วด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้คำตอบ.. เงียบหมดทั้ง upstream ทั้ง Debian.. ก็เอาน่ะ รอซะหน่อย เพิ่งสองวันเอง :P

ป้ายกำกับ: ,

16 มิถุนายน 2551

Plutoid in Thai News

หลังจากที่ ดาวพลูโตถูกลดชั้นจากทำเนียบดาวเคราะห์ เมื่อสองปีก่อน เร็ว ๆ นี้ (11 มิ.ย.) ก็มีข่าวเล็ก ๆ ออกมาจากสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) เกี่ยวกับ การบัญญัติคำว่า plutoid สำหรับเรียกเทหวัตถุในระบบสุริยะที่คล้ายพลูโต ซึ่งครั้งนี้ข่าวไม่ได้ครึกโครมเหมือนเมื่อครั้งลดชั้น แต่การนำเสนอข่าวของสำนักข่าวต่าง ๆ ในไทยนี่สิ ที่ทำให้น่าเป็นห่วง ว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันใหญ่หลวง

เท้าความเรื่องการลดชั้นพลูโตคร่าว ๆ (เคยบันทึกไว้ใน blog เก่า) คือจากความพิลึกกึกกือของพลูโตที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันมานาน ว่าจะยังคงจัดให้พลูโตเป็นดาวเคราะห์อยู่หรือเปล่า จนกระทั่งมีการพบ trans-Neptunian object เพิ่มขึ้น เป็นการเร่งรัดให้จัดหมู่พลูโตโดยด่วน เพื่อความชัดเจนว่าจะนับดาวเคราะห์เพิ่มเป็น 10, 11, ... ดวง หรือจะเป็นอย่างอื่น ในที่สุดก็ตกลงกันให้ปลดพลูโตลงจากทำเนียบดาวเคราะห์ เพื่อมาเป็นหัวขบวนให้กับเทหวัตถุชนิดใหม่ที่เรียกว่า "ดาวเคราะห์แคระ" (dwarf planet) โดยเพิ่มนิยามดาวเคราะห์ (planet) ว่าต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  • โคจรรอบดาวฤกษ์ และไม่ได้เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์อื่น
  • มีมวลมากพอที่จะสร้างแรงโน้มถ่วงในตัวเอง เอาชนะแรงยึดเหนี่ยวของของแข็ง จนจัดรูปร่างตัวเองในลักษณะเดียวกับ สมดุลไฮโดรสแตติก คือมีรูปร่างเกือบกลม
  • มีแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะ เก็บกวาดวัตถุอื่น ที่ผ่านเข้ามาในวงโคจร จนกลายเป็นผู้ครอบครองวงโคจรแต่ผู้เดียว

เทหวัตถุที่ขาดคุณสมบัติข้อสุดท้ายเพียงข้อเดียว โดยมีมวลมากพอจะจัดรูปร่างตัวเองให้เกือบกลม แต่ไม่มากพอจะเก็บกวาดวัตถุอื่นในวงโคจร ก็ให้เรียกว่า "ดาวเคราะห์แคระ" (dwarf planet) ส่วนเทหวัตถุที่ไม่สามารถแม้แต่จะจัดรูปร่างตัวเองให้เกือบกลม ก็ให้เรียกว่า "ดาวเคราะห์น้อย" (asteroid) ต่อไป

ดาวพลูโตซึ่งกลมแต่ไม่สามารถครอบครองวงโคจรแต่ผู้เดียว โดยใช้วงโคจรร่วมกับ แครอน ดวงจันทร์บริวารในลักษณะคู่เต้นรำที่จับมือกันเหวี่ยงตัวไปรอบจุดศูนย์ถ่วงระหว่างกัน จึงถูกจัดกลุ่มใหม่ให้เป็นดาวเคราะห์แคระมาตั้งแต่บัดนั้น

พร้อมกันนั้น ก็มีการเลื่อนชั้น ซีรีส ดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ที่สุดและมีรูปร่างเกือบกลม ให้ขึ้นมาเป็นดาวเคราะห์แคระไปด้วย พร้อมกับจัดกลุ่มให้ 2003 UB313 ซึ่งเป็น trans-Neptunian object ที่ในขณะนั้นมีชื่อเล่นว่า Xena และปัจจุบันได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Eris เป็นดาวเคราะห์แคระไปด้วย รวมทั้งแครอน ดวงจันทร์บริวารของพลูโต ก็พลอยได้เป็นดาวเคราะห์แคระไปด้วย

สรุปว่าในครั้งนั้น ระบบสุริยะมีดาวเคราะห์เหลือ 8 ดวง และมีดาวเคราะห์แคระ 4 ดวง (ซีรีส, พลูโต, แครอน, Xena/Eris)

แล้วข่าวจาก IAU ครั้งนี้ ก็เป็นการบัญญัติคำสำหรับเรียกดาวเคราะห์แคระที่มีแกนหลักของวงโคจรโตกว่าของเนปจูน โดยใช้คำว่า "พลูตอยด์" (plutoid) ซึ่งในขณะนี้ มีพลูตอยด์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ 2 ดวง คือพลูโต และอีริส ส่วนแครอนนั้น ไม่นับเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว เพราะถือเป็นดวงจันทร์บริวารของพลูโต จึงไม่ใช่พลูตอยด์เช่นกัน

นั่นคือสาระของข่าวจาก IAU ทีนี้มาดู ว่าแหล่งข่าวในบ้านเรารายงานว่ายังไงกันบ้าง

ดูเหมือนข่าวในไทยเกือบทั้งหมด จะคัดต่อ ๆ กันมาจากแหล่งเดียว จึงรายงานไปในทางเดียวกัน ว่า ดาราศาสตร์โลกเปลี่ยนชื่อดาวพลูโตเป็นพลูตอยด์ ตัวอย่างเช่น:

อย่างไรก็ดี มีแหล่งข่าวบางแหล่งที่รายงานต่างออกไป เช่น:

  • ไทยโพสต์ เนื้อหาดูจะผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี ไม่มีการเปลี่ยนชื่อดาว แต่ก็ปรากฏว่ามีจุดบอดอยู่บ้าง คือไม่ได้อ้างถึงซีรีสเลย โดยระบุว่า "ต่อไปนี้ วัตถุที่เป็น 'ดาวเคราะห์แคระ' จะถูกจัดเป็นพวก 'plutoids'" เป็นการเหมารวมดาวเคราะห์แคระทั้งหมดเป็นพลูตอยด์ และระบุชื่อเพียงสองดวง คือพลูโตและอีริส จึงเป็นการตัดซีรีสออกจากสารบบดาวเคราะห์แคระแบบกลาย ๆ
  • blognone ไม่มีการเปลี่ยนชื่อดาว แต่รายงานในทำนองเดียวกับไทยโพสต์ ว่า plutoid เป็นคำใหม่สำหรับเรียกดาวเคราะห์แคระ โดยไม่ได้แยกแยะ ทำให้กรณีของซีรีสตกจากความเป็นดาวเคราะห์แคระแบบกลาย ๆ ไปด้วย แถมยังให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนด้วย ว่าพลูโตถูกปลดจากทำเนียบดาวเคราะห์เพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากเกินไป
  • foosci เดิมรายงานว่าพลูโตถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพลูตอยด์ แต่หลังจากทักท้วงไปแล้ว ก็ได้ปรับเนื้อหาใหม่ รวมทั้งแก้รายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับนิยามของดาวเคราะห์แคระด้วย แต่ก็ยังเหลือจุดบอดอยู่ ที่บอกว่า ได้มีการตั้งชื่อให้ใหม่ เพื่อให้เหมือนกับดาวเคราะห์แคระดวงอื่น ซึ่งก็ยังคงย้ำอยู่ดีว่ามีการเปลี่ยนชื่อ แถมระบุเงื่อนไขของชื่อดาวเคราะห์แคระที่คลาดเคลื่อนด้วย (ดาวเคราะห์แคระไม่ได้ชื่อลงท้ายด้วย -oid แต่เท่าที่จับแนวทางของชื่อ น่าจะเป็นเทพเจ้าของกรีกเหมือนดาวเคราะห์น้อย [ในขณะที่ดาวเคราะห์จะได้ชื่อเทพเจ้าโรมัน] ชื่อซีรีส (เทพเจ้ากรีก) และพลูโต (เทพเจ้าโรมัน) เป็นชื่อเดิม คงไม่มีการเปลี่ยน แต่เมื่อดูจากชื่อ อีริส (Eris) ซึ่งเป็นเทพเจ้ากรีกแล้ว ก็ทำให้คาดเดาได้ว่าพลูตอยด์ดวงใหม่ ๆ คงจะได้ชื่อของเทพเจ้ากรีกตามอย่างดาวเคราะห์น้อย)

ถ้าพิจารณาให้ดี ข้อเท็จจริงที่แหล่งข่าวน่าจะรายงาน จึงควรจะเป็นว่า:

  • ไม่มีการเปลี่ยนชื่อดาวพลูโต
  • มีคำใหม่คือ "พลูตอยด์" สำหรับเรียกดาวเคราะห์แคระ ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าเนปจูนออกไป (ไม่ใช่เรียกดาวเคราะห์แคระทั้งหมดว่าเป็นพลูตอยด์)
  • ซีรีสยังเป็นดาวเคราะห์แคระอยู่ แต่ไม่ใช่พลูตอยด์เพราะอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ไม่มีการตั้งชื่อให้กับกลุ่มดาวเคราะห์แคระที่อยู่บริเวณนี้ เพราะมีเพียงซีรีสเพียงดวงเดียว
  • ปัจจุบัน ระบบสุริยะมีดาวเคราะห์แคระอย่างเป็นทางการ 3 ดวง คือ ซีรีส, พลูโต, อีริส โดยเป็นพลูตอยด์เสีย 2 ดวง คือ พลูโต และอีริส
  • สาเหตุของการลดชั้นพลูโตจากความเป็นดาวเคราะห์ อยู่ที่ขนาดของพลูโต ที่ไม่ใหญ่พอจะเก็บกวาดมวลสารจนเป็นผู้ครอบครองวงโคจรแต่ผู้เดียวได้ ไม่เกี่ยวกับสาเหตุอื่น ๆ

ช่วยกันแก้ข่าวด้วยนะครับ ก่อนที่ครูจะเริ่มสอนนักเรียนด้วยข้อมูลผิด ๆ ตามข่าว

Update (13:38): เพิ่มลิงก์ช่อง 7 และ Shincamp

ป้ายกำกับ:

03 สิงหาคม 2550

PowerTop, Epiphany-WebKit, New Extinction Theory

ตามข่าวสารตามสภาพสังขารจะอำนวย

  • การประหยัดพลังงาน กำลังกลายเป็น trend ใหม่ของนักพัฒนาโอเพนซอร์ส สังเกต patch ใน GNOME และ Debian จะเห็นหลายรายการที่เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน (เช่น ลดความถี่ของการ poll ที่ไม่จำเป็น หรือลดการกะพริบของเคอร์เซอร์) จนกระทั่ง Intel ออก powertop สำหรับตรวจหาโปรแกรมที่กินพลังงานสูงสุด อ่านจาก known issues แล้ว มีรายการลดได้เยอะเลย ลองลง powertop ผ่าน apt มาเช็กเครื่องตัวเองดู.. ดูเหมือนพวก mozilla นี่แหละจะกินพลังงานสูงสุด ไม่ต้องถึงกับต้องให้ google ใช้พื้นดำ หรอก พวกเว็บต่าง ๆ ที่ชอบใส่ animation น่ะ เอาออกจะช่วยโลกประหยัดพลังงานได้เยอะกว่าเสียอีก
  • Epiphany จะมี WebKit backend แล้ว นอกเหนือจาก Gecko ที่ใช้อยู่ กลายเป็นตัวเลือกที่อาจจะเบากว่าเดิม ว้าว!
  • ข่าว /. บอก มี ทฤษฎีใหม่ ที่อธิบายการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกในยุคก่อนหน้านั้น เพราะจังหวะเวลาการเกิด ไปพ้องกับจังหวะการเคลื่อนขึ้นลงของสุริยจักรวาลจากระนาบของแกแล็กซีทางช้างเผือก โดยตรงกับจุดที่เคลื่อนไปสูงสุด ซึ่งสันนิษฐานว่า อาจไปโดนรังสีคอสมิกจากแกแล็กซีข้างเคียงที่สามารถทะลวงผิวโลกไปทำลาย DNA ของสิ่งมีชีวิตได้ถึงระดับใต้ดิน หรืออย่างน้อยก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรง เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจมาก นอกเหนือจากทฤษฎีดาวหางชนโลก หรือทฤษฎีโกลาหล (chaos)

จบข่าว.. อยากเขียนลง blognone อยู่นะ แต่ตาไม่ค่อยสู้เลย ไม่อาจเรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราว

ป้ายกำกับ: , ,

13 มิถุนายน 2550

Sundog

วันนี้ที่ขอนแก่นเกือบเที่ยง เกิดพระอาทิตย์ทรงกลด (หลังจากได้ยินข่าวว่าเกิดที่อื่นมาแล้ว) เป็นวงใหญ่สวยงามมาก

Sundog in Khon Kaen, 2007-06-13

อาทิตย์ทรงกลด เป็น ปรากฏการณ์ทางแสง เกิดจากการหักเหของแสงอาทิตย์ผ่านละอองน้ำในอากาศ โดยแสงความยาวคลื่นต่างกันหักเหได้ไม่เท่ากัน ทำนองเดียวกับรุ้งกินน้ำ แต่ไม่มีการสะท้อนกลับในละอองน้ำ มีแต่การหักเหล้วน ๆ

สังเกตว่า ภายในกลดจะมืด เพราะแสงในบริเวณนั้นหักเหไปทางอื่น ไม่เข้าสู่ตาของผู้สังเกต เหมือนกับ Alexander's band ที่เกิดระหว่างรุ้งปฐมภูมิและรุ้งทุติยภูมิ

ป้ายกำกับ: ,

19 มีนาคม 2550

Partial Solar Eclipse

สังเกต สุริยุปราคาบางส่วน อย่างง่าย ทำกล้องรูเข็มอย่างเร็วด้วยม้วนกระดาษกับกระดาษเจาะรู แต่ถ่ายภาพลำบาก เหลือบไปที่ผนังบ้าน ที่แดดส่องลอดรูเข้ามา เลยถ่ายซะ ง่ายกว่ากันเยอะ

Partial Solar Eclipse

เวลา: 19 มีนาคม 2550 08:28 น.
สถานที่: ขอนแก่น (16.5 N 102.8 E)

ป้ายกำกับ:

hacker emblem