Theppitak's blog

My personal blog.

05 ตุลาคม 2550

Thai Script Origin

เพิ่งได้หยิบหนังสือ "อักษรไทยมาจากไหน?" ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่ซื้อไว้นานแล้วขึ้นมาอ่านระหว่างเดินทาง กลายเป็นข้อมูลใหม่ (สำหรับผม แต่คงไม่ใหม่สำหรับวงการ) เกี่ยวกับกำเนิดอักษรไทย

ข้อมูลทั่วไปที่ทราบต่อ ๆ กันมาคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยใน พ.ศ. ๑๘๒๖ โดยดัดแปลงมาจากอักษรขอมและมอญ จากนั้นจึงวิวัฒน์ต่อมาในสมัยอยุธยา โดยได้รับอิทธิพลจากภาษาเขมรมาเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นอักขรวิธีในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลนี้ มีความจริงอยู่เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าว่าตามหลักฐานที่มีผู้ศึกษาใหม่

คงไม่ต้องพูดถึงความเข้าใจผิดของนักเรียนไทยบางส่วน ว่า "อาณาจักรสุโขทัย" เป็นอาณาจักรแห่งแรกของไทย พอหมดสุโขทัยจึงย้ายมาตั้งเมืองหลวงที่อยุธยาทำนองเดียวกับการย้ายกรุงครั้งหลัง ๆ เรื่องนี้หลายคนคงทราบอยู่ว่า สมัยนั้นยังไม่มีการตั้งอาณาจักร แต่มีรัฐอิสระคือสุโขทัยกับอยุธยาอยู่ร่วมสมัยกัน จนกระทั่งสุโขทัยถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา จึงกลายเป็นอาณาจักรแรกของไทย ที่รวมรัฐต่าง ๆ เข้าด้วยกัน คืออาณาจักรอยุธยา มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา

แต่เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น เริ่มจากคำว่า "ขอม" ตามความเห็นของ จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ได้หมายถึงชนชาติหรือเชื้อชาติ แต่หมายถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่รับวัฒนธรรมฮินดูจากชมพูทวีปแล้วภายหลังเปลี่ยนเป็นพุทธมหายาน (ต่างกับชนชาติไทย-ลาวที่นับถือผีก่อนเปลี่ยนมารับพุทธเถรวาทจากชมพูทวีป) ใช้อักษรขอมในการจดจารึก ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมถึงชนชาติเขมรและรัฐเครือญาติทั้งหมด รวมทั้งละโว้ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นอโยธยาศรีรามเทพนครด้วย คำว่า "ขอม" ถูกใช้เรียกกลุ่มคนโดยรวม คล้ายกับการใช้คำว่า "แขก" เรียกคนอิสลาม/ซิกข์/ฮินดูโดยรวม โดยไม่แยกว่าเป็นคนอินเดีย มลายู ชวา หรือตะวันออกกลาง

ส่วนกลุ่มคนที่เรียกว่า "ไท" หรือ "ไทย" รวมทั้ง "ลาว" นั้น เดิมมีศูนย์กลางอยู่ที่ลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีการอพยพโยกย้ายเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง จนเข้าครอบครองละโว้ในที่สุด พร้อมกับมีรัฐอื่น ๆ ของคนไทยเกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน คือสุพรรณภูมิ สุโขทัย และนครศรีธรรมราช (จะเห็นว่า เมื่อรวมกันเป็นอาณาจักรแล้ว จึงมีการผลัดเปลี่ยนขั้วอำนาจไปมาระหว่างราชวงศ์เหล่านี้ รวมทั้งราชวงศ์อู่ทองของละโว้เองด้วย) ต่อมา ละโว้เกิดกาฬโรคระบาด พระเจ้าอู่ทองจึงย้ายจากลพบุรีมาตั้งกรุงศรีอยุธยาที่บริเวณเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ตรงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนทางฝั่งตะวันตกนั้น ยังเป็นเขตของรัฐสุพรรณภูมิ ดังนั้น ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยานั้น จึงไม่ใช่จุดเริ่มต้นของคนไทยในรัฐละโว้ แต่มีหลักแหล่งในละโว้อยู่ก่อนหน้านั้นนานแล้ว

ช่วงก่อนจะตั้งกรุงศรีอยุธยานั้น คนไทยในละโว้ได้รับเอาอักษรขอมมาเขียนภาษาไทย แล้วต่อมาก็มีการดัดแปลงเพิ่มเติม เพื่อให้เขียนภาษาไทยได้ครบเสียงยิ่งขึ้น จนกลายเป็นอักษรไทยในที่สุด โดยพบหลักฐานเป็นจารึกสมุดข่อยที่ระบุเวลาที่เขียนก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาร่วมร้อยกว่าปี และก่อนที่พ่อขุนรามคำแหงจะจารึกลายสือไทยในศิลาจารึกด้วย คือกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ (ตอนท้าย) คำนวณปีที่จารึกได้เป็น พ.ศ. ๑๗๗๘ ซึ่งก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาถึงร้อยกว่าปี และก่อนศิลาจารึกพ่อขุนรามฯ ถึงห้าสิบปี และมีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งคือโองการแช่งน้ำ ซึ่งไม่ทราบปีที่แต่งแน่นอน ทราบแต่ว่ามีใช้แล้วในขณะตั้งกรุงศรีอยุธยา ผ่านการคัดลอกต่อ ๆ กันมาหลายทอด และธรรมเนียมแช่งน้ำนี้ สันนิษฐานว่าได้รับแบบอย่างมาจากเขมรที่มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่พระนคร (นครธม)

ที่ต้องอึ้งก็คือ ภาพสมุดข่อยที่หนังสือเอามาลงเป็นภาพประกอบนั้น แสดงลักษณะการเขียนเหมือนกับอักขรวิธีภาษาไทยในสมัยนี้แทบไม่มีผิดเพี้ยน จะมีแตกต่างก็แค่รายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น ส่วนลักษณะของภาษาที่ใช้นั้น เป็นภาษาแบบเดียวกับไทย-ลาวลุ่มน้ำโขงแล้ว แทนที่จะใช้ภาษาบาลี-สันสกฤต-เขมรเป็นหลักตามธรรมเนียมในคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

ถ้ากะประมาณว่า สมุดข่อยนั้นอยู่ไม่ทนเหมือนศิลาจารึก จึงหลงเหลือมาเป็นหลักฐานน้อย และอักขรวิธีที่อยู่ตัวแล้วในตอนนั้น แสดงว่าอักษรต้องผ่านการวิวัฒน์ก่อนหน้านั้นอีกเป็นเวลานานมาแล้ว!

แล้วลายสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงล่ะ? ก็น่าจะยังนับเป็นประดิษฐกรรมใหม่อยู่ครับ โดยมีบันทึกว่า พระร่วงเจ้าแห่งสุโขทัยได้มาเรียนวิชาจากครูที่ละโว้ แล้วคงได้ทรงศึกษาอักษรไทยไปจากละโว้ด้วย จึงทรงนำกลับไปปรับปรุงวิธีเขียนเสียใหม่ กลายเป็นลายสือไทย โดยได้แบบอย่างมาจาก "ขอม" (ซึ่งเป็นคนไทย) ที่ละโว้ และผสมลักษณะบางอย่างของอักษรมอญเข้าไปด้วย แล้วเพิ่มแนวคิดใหม่ของการเขียนทุกอย่างในบรรทัดเดียวยกเว้นวรรณยุกต์ กลายเป็นอักษรแรกของรัฐที่เรียกว่า "ไทย" อย่างเต็มตัว จากนั้น ลายสือไทยก็ได้แพร่หลายเข้าไปในล้านนา ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนกลายเป็นอักษรฝักขาม และแพร่เข้าไปที่ล้านช้าง กลายเป็นอักษรไทน้อย

เพียงแต่ว่า ในอาณาจักรอยุธยานั้น ลายสือไทยของพ่อขุนรามคงไม่ฮิต ก็เลยถูกเลิกใช้ไป แล้วก็ใช้อักษรไทยอยุธยากันต่อไป (นึกถึงความพยายามหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสร้าง "อักขรวิธีแบบใหม่" ขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ฮิตเหมือนกัน)

ถ้าว่าตามหลักฐานเหล่านี้ อักษรไทยก็มีอายุมากกว่า ๗๗๐ ปีขึ้นไป (ไม่ใช่ ๗๒๔ ปีตามหลักฐานเดิม) แต่ยังไม่มีหลักฐานที่เก่าพอจะสืบต่อไปได้ ว่าเริ่มมีเมื่อไร

ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่เอาไว้ท่องจำนะเออ ซิบอกให้

ป้ายกำกับ:

13 ความเห็น:

  • 7 ตุลาคม 2550 เวลา 13:13 , Anonymous ไม่ระบุชื่อ แถลง…

    กรณีทั่วไป ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาท่องจำแถมเล่นสีด้วย กล่าวคือสายใครสายมันและเชื่อตามอาจารย์ที่เคารพ

     
  • 7 ตุลาคม 2550 เวลา 15:08 , Blogger PoomK แถลง…

    แต่ถ้าจะสอบให้ผ่าน ต้องท่องจำนะครับ แถมต้องเขียนอย่างที่อาจารย์ให้ท่องด้วย

     
  • 8 ตุลาคม 2550 เวลา 13:14 , Blogger bact' แถลง…

    บังเอิญจริง
    เมื่อวันศุกร์ ได้มีโอกาสพลิก ๆ "ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย" ของจิตร ในร้านหนังสือ

    อ่านบทที่เขาวิเคราะห์ว่า ทำไม ญ กับ ฐ ถึงมีเชิง
    สนุกดี
    ไล่ไปจนถึงที่มา คืออักษรขอม เลย

     
  • 8 ตุลาคม 2550 เวลา 13:16 , Blogger bact' แถลง…

    ตอนนี้ใครสนใจงานของจิตร เขามีเอามารวบรวมพิมพ์ใหม่แล้วนะครับ
    บางเล่มเป็นการรวบรวมและเพิ่มเติมบทใหม่จากที่เคยพิมพ์ไปแล้วด้วย

    http://www.sameskybooks.org/jit.html

     
  • 8 ตุลาคม 2550 เวลา 14:29 , Blogger Thep แถลง…

    bact',

    เล่าสู่กันฟังมั่งสิ ที่อ่านมาน่ะ

    เคยเห็นหนังสือของจิตรที่ร้านหนังสือเหมือนกัน ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ตอนนั้นพยายามรักษาเงินในกระเป๋าไว้ซื้อหนังสือคอมพ์ (เจอ taocp ของปรมาจารย์ Knuth ฉบับลดราคาในร้านเดียวกัน) เลยไม่ได้อ่านเลย

    มีรวมพิมพ์ใหม่แบบนี้ เดี๋ยวไปหามาอ่านมั่ง :)

     
  • 8 ตุลาคม 2550 เวลา 20:01 , Blogger bact' แถลง…

    ผมจำรายละเอียดไม่ได้นะครับ
    แต่ประมาณว่า ในการเขียนแบบขอมนั้น จะมีการเขียนตัวอักษรซ้อนทับกัน (มีตัวนึงอยู่บนหัวของอีกตัวนึง) เรียกว่า "สังโยค"
    ประมาณว่า




    แต่การเขียนแบบนี้สำหรับบางตัวอักษรที่เส้นสายเยอะ ๆ มันไม่สวย ยุ่ง อ่านยาก
    เขาเลยลดรูปของตัวอักษรที่อยู่ข้างใต้ลงครับ เหลือไว้แค่เชิง(ตีน)ของมัน
    (ในตัวอักษรจีนก็มีคล้าย ๆ นี้ แต่ซับซ้อนกว่า มีทั้งรวมจากข้างหน้าข้างหลังข้างบน ฯลฯ)
    คือที่เราเห็นว่ามีตัวเดียวเนี่ย จริง ๆ เป็นสองตัวซ้อนกันอยู่

    ตอนพ่อขุนรามรับตัวขอมมาใช้ ท่านเห็นว่าเชิงนี่มันยุ่งยาก ไม่มีที่ใช้ในระบบการเขียนของไทย/คำไทย
    ก็เลยตัดออก เหลือแค่ ญ แบบไม่มีเชิง (เหมือน ญ ใน ญู)
    แต่พอสิ้นพ่อขุมราม ภาษาไทยก็ได้รับอิทธิพลขอมเข้ามามาก คนรู้หนังสือก็นิยมเขียนแบบขอม ก็เลยเติมเชิงเข้ามาอีก
    แต่ก็เป็นการเติมเข้ามาในรูปอักษรเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อระบบเขียนอื่น ๆ (ยกเว้นการสร้างความยุ่งยากว่า เมื่อไหร่จะมีเชิงหรือไม่มีเชิง ญ ญู)

    ประมาณนี้น่ะครับ
    จำได้ไม่ค่อยปะติปะต่อเท่าไหร่

     
  • 8 ตุลาคม 2550 เวลา 20:45 , Blogger Thep แถลง…

    ครับ คล้ายกับที่ได้อ่านมา และที่เคย blog ถึง

    ตัว ญ ของเขมร รูปเต็มจะมีเส้นตวัดข้างล่าง (จากขวามาซ้าย) ด้วย แต่พอผสมกับตัวเชิง ก็จะตัดเส้นตวัดออก เหมือนกับการเขียน ญ ของเราทุกวันนี้

    ตัว ฐ ของเขมร รูปเต็มรูปคล้าย ฐ ไม่มีเชิง ส่วนรูปเชิง จะเหมือนเชิง ฐ ของเรา พอเขียน ฐฐ ในภาษาเขมร ก็จะเอาตัวเต็มกับเชิงมาต่อกัน กลายเป็น ฐ ของเราทุกวันนี้

    ที่อยากรู้ก็คือ ไปไงมาไงถึงได้เพิ่มเชิงเข้าไป อย่าง ญ นี่พอเข้าใจได้ แต่ ฐ ที่เอา ฐ เขมรสองตัวมาซ้อนกันนี่ งงเหมือนกัน

    ปล. ถ้าว่าตามที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ ว่า ก็หมายความว่า ไม่ใช่ว่าคนรุ่นหลังสมัยพ่อขุนรามฯ เพิ่มเชิงตามเขมรเข้าไป ต้องบอกว่าการตัดเชิงของพ่อขุนรามไม่ถูกใช้ในยุคต่อมาต่างหาก (เพราะมี ญ ฐ แบบมีเชิงอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว)

     
  • 9 ตุลาคม 2550 เวลา 14:38 , Blogger bact' แถลง…

    " ไม่ใช่ว่าคนรุ่นหลังสมัยพ่อขุนรามฯ เพิ่มเชิงตามเขมรเข้าไป ต้องบอกว่าการตัดเชิงของพ่อขุนรามไม่ถูกใช้ในยุคต่อมาต่างหาก "

    ใช่ครับ ในหนังสือของจิตรก็เขียนทำนองนี้
    คือวิธีการเขียนแบบพ่อขุนราม เสื่อมความนิยมลง หลังจากสิ้นท่าน
    ประกอบกับอิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรก็เพิ่มมากขึ้นในชนชั้นสูง/หมู่ผู้รู้หนังสือ (ทำนองเห่อฝรั่งในสมัยไม่นานมานี้)

    การเขียนแบบพ่อขุนราม ก็เลยเลือนไป ทั้งเรื่องตัดเชิง เรื่องเขียนทุกอย่างในบรรทัดเดียว

     
  • 11 ตุลาคม 2550 เวลา 22:16 , Blogger bact' แถลง…

    อ้างตาม ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2547
    ฉบับ "จาก 24 มิถุนา ถึง 5 ธันวา"

    ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม
    ก็มีความพยายามในการตัดเชิงของ ญ ออกไปอีกครั้งครับ
    ซึ่งรวมอยู่ในความพยายาม "ปฏิรูป" การสะกดคำไทยในสมัยนั้น (เช่น การยกเลิกอักษรไทยหลายตัว การเปลี่ยนตัวสะกดให้ตรงตามเสียงสำหรับคำที่ไม่ได้มาจากบาลีสันสกฤต ฯลฯ)

    ผมได้หนังสือ "ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย" ของจิตรมาแล้ว
    เดี๋ยวส่งไปให้พี่เทพดูดีกว่า ผมอ่านไปก็ไม่แตกเท่าพี่ แล้วให้พี่เทพเขียนเล่าให้ฟังในบล็อกดีกว่า :D

     
  • 12 ตุลาคม 2550 เวลา 17:02 , Blogger satit แถลง…

    I agree with your ideas. If you notice the Devanagri alphabets (used in Sanskrit and Hindee) you will see the similarity with Thai alphabets.

    I have another questions. We have got many words from China but why don't we use Chinese letters?

    Sorry I can't type in Thai, maybe some technical problem of this page.

     
  • 12 ตุลาคม 2550 เวลา 18:26 , Blogger Thep แถลง…

    satit,

    เนื้อหาส่วนที่ไม่ได้เขียนถึงใน blog ข้างต้นก็คือ การพบจารึกอักษรปัลลวะในศิลาจารึกในที่ต่าง ๆ ของไทย ซึ่งคาดว่าเข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธ ตรงนี้น่าจะเป็นอักษรอินเดียที่เข้ามามีอิทธิพลในแถบทวารวดี

    อักษรปัลลวะ เป็นอักษรของอินเดียใต้ ใช้จารึกภาษาทมิฬ ซึ่งเป็นภาษาตระกูลฑราวิฑ (Dravidian) ภาษาหนึ่ง เข้าสู่ดินแดนทวารวดีในรูปของคาถาบาลี (คาถา เย ธัมมา) และพุทธศาสนนิทานต่าง ๆ

    จากนั้น ก็มีอักษรทวารวดีเกิดขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนจากอักษรปัลลวะ ก่อนจะพัฒนามาเป็นอักษรรุ่นถัดมาในทวารวดี คืออักษรขอมโบราณ อักษรมอญโบราณ และอักษรกวิ

    ซึ่งสายหนึ่งของภาษาเขียนนี้ คืออักษรขอมนี้เอง ที่เป็นที่มาของอักษรไทย เพียงแต่ว่า ยังไม่สามารถสืบได้ ว่าเริ่มมีอักษรไทยเกิดขึ้นจากอักษรขอมตั้งแต่เมื่อไร

    ทำไมเราจึงไม่ใช้ภาษาจีนเขียน ทั้ง ๆ ที่ก็ใกล้ชิดกับจีน? คงเป็นเพราะเราในสมัยนั้นยังไม่สนใจที่จะจดจารึก (อย่างที่จีนเรียกว่าเป็นพวก "ฮวน") กระมัง? ผมเดาว่าอย่างนั้น ดังจะเห็นว่าการศึกษาเรื่องราวของสุวรรณภูมิยุคโบราณ จะต้องอาศัยบันทึกของจีนเป็นแหล่งอ้างอิงสำคัญ

    การที่ชาวสุวรรณภูมิเริ่มสนใจตัวอักษร ก็มาจากการเผยแผ่พุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศก โดยพระเถระที่เข้ามา ได้มาสอนชาวเมืองโดยนำวรรณคดีพุทธมาด้วย แล้วเริ่มจารึกลงในแหล่งต่าง ๆ

     
  • 14 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 11:42 , Anonymous ไม่ระบุชื่อ แถลง…

    อ่านไปทำให้นึกถึงภาษาวิบัติ พอถึงเวลานึงมันอาจจะกลายมาเป็นเรื่องถูกก็ได้ ภาษามันไม่ตายจริงๆ

     
  • 14 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 13:33 , Blogger Thep แถลง…

    ครับ แต่ภาษาก็มีภูมิต้านทานของมันอยู่ ที่ทำให้ไม่เพี้ยนเร็วเกินไป สิ่งที่จะฮิตได้ จะต้องผ่านแรงทดสอบพอสมควรจากสังคม (ตัวอย่างที่สอบไม่ผ่านก็เช่น ลายสือไทยของพ่อขุนราม อักขรวิธีใหม่ของ ร.๖ และการปฏิวัติตัวหนังสือสมัยจอมพล ป.)

     

แสดงความเห็น (มีการกลั่นกรองสำหรับ blog ที่เก่ากว่า 14 วัน)

<< กลับหน้าแรก

hacker emblem