Beijing 2008
ก่อนจะเขียนเรื่องพม่าต่อ คั่นด้วยเรื่องพิธีเปิดโอลิมปิกปักกิ่ง 2008 (วิดีโอ) เสียหน่อย
การแสดงในพิธีเปิด นอกจากเทคนิคตระการตา คนแสดงมหาศาลแล้ว เรื่องเนื้อหาก็ทำได้เยี่ยมไม่แพ้กัน คือดึงเอา "กึ๋น" ของอารยธรรมจีนออกมาอวดได้อย่างน่าดู กลมกลืนกับโลกสมัยใหม่
เริ่มจากเรื่อง สี่ประดิษฐ์ ที่คนจีนช่วยบุกเบิกอารยธรรมของโลก คือ กระดาษ การพิมพ์ เข็มทิศ และดินปืน ทั้งสี่อย่างนี้เกิดขึ้นครั้งแรกที่จีน ก่อนจะแพร่หลายเข้าสู่วัฒนธรรมตะวันตกผ่านเส้นทางสายไหม และเทคโนโลยีการเดินเรือของจีน ซึ่งล้ำหน้าอารยธรรมตะวันตกในขณะนั้นไปหลายช่วงตัว
สิ่งประดิษฐ์ที่เก่าแก่ คือ เข็มทิศ โดยในยุคเริ่มแรกใช้ในการสงครามในรูปของ รถชี้ทิศใต้ มีบันทึกตำนานว่าตั้งแต่สมัยหวงตี้ (อึ่งตี่ - พระเจ้าเหลือง) ปฐมกษัตริย์จีน ก็มีการใช้รถชี้ทิศในการสงคราม และในสมัยฮั่นตะวันออก จางเหิงได้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ก่อนจะหายสาบสูญเมื่อเกิดจลาจลสามก๊ก แต่บันทึกประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับการประดิษฐ์รถชี้ทิศใต้ คือการประดิษฐ์ของ หม่าจวิน วิศวกรแห่งแคว้นเว่ยในยุคสามก๊ก ตามบัญชาของเว่ยหมิงตี้ (โจยอย) หลังจากมีบัณฑิตสองคนโต้เถียงกันเรื่องความเป็นไปได้ของรถชี้ทิศ ซึ่งหม่าจวินทำได้สำเร็จ แต่รถชี้ทิศของหม่าจวินไม่ได้ใช้แม่เหล็กในการชี้ทิศ แต่ใช้ระบบ differential gear มาชดเชยการหมุนตัวของรถ ทำให้เข็มชี้ไปในทิศทางเดิมตลอด แต่ต่อมาก็พบความคลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากความเป็นกลไก และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ นักวิทยาศาสตร์ จู่ชงจือ จึงได้ปรับปรุงรถชี้ทิศให้ชี้ทิศอย่างแม่นยำกว่าเดิมมาก แม้จะหมุนไปมาสักกี่ทิศก็ตาม
ส่วนเรื่องการใช้แม่เหล็กนั้น มีการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในเอกสารของจีนในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราช เกี่ยวกับหินแม่เหล็กที่ดูดเหล็ก และมีเอกสารในสมัยราชวงศ์ฮั่นโดย หวังชง เกี่ยวกับแม่เหล็กและการสร้างเข็มทิศในรูปของช้อนที่ด้ามชี้ไปทางทิศใต้เสมอ และเอกสารในราชวงศ์ซ่งกล่าวถึง "ปลาที่หันไปทางใต้" โดยเป็นเข็มทิศแบบลอยน้ำ
แต่เข็มทิศ เมื่อนำมาใช้กับการเดินทางทางบก ก็ไม่ได้มีประโยชน์สูงเท่ากับเมื่อนำมาใช้ทางน้ำ มีบันทึกในสมัยราชวงศ์ซ่งเป็นอย่างช้า เกี่ยวกับการใช้เข็มทิศเดินเรือของจีน โดย จู่อู บันทึกไว้ว่า นักเดินเรือรู้ภูมิศาสตร์ เวลากลางคืนจะดูดาว เวลากลางวันดูดวงอาทิตย์ แต่ตอนที่มืดและเต็มไปด้วยเมฆหมอก ก็จะดูเข็มทิศแทน
ดินปืน นั้น ไม่พบประวัติว่าใครเป็นผู้ค้นพบ แต่สันนิษฐานว่าคงเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ดินปืนมีประวัติผูกพันกับประทัดและเทศกาลปีใหม่ของจีน โดยมีตำนานว่า ในสมัยโบราณมีตัวประหลาดบนภูเขา เรียกว่า ซานเซียว ลงมาขโมยของกินชาวบ้าน และทำให้เกิดความเจ็บป่วย และชาวบ้านก็พบโดยบังเอิญว่าซานเซียวกลัวไฟและเสียงดัง เมื่อมีกระบอกไม้ไผ่ในกองไฟระเบิดขึ้น จึงได้เป็นวิธีขับไล่ซานเซียวด้วยการจุดระเบิดไม้ไผ่ แล้วต่อมาก็อัดดินปืนให้ระเบิดง่ายเข้า กลายเป็นที่มาของประทัด โดยการจุดประทัดไล่ซานเซียวประจำปีก็กลายมาเป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวจีน
ส่วน กระดาษ เป็นที่ยอมรับกันว่า ไช่หลุน ขันทีในสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นผู้คิดวิธีทำกระดาษโดยอาศัยเศษผ้าและเยื่อไม้เป็นครั้งแรก แต่ก็มีการพบหลักฐานเร็ว ๆ นี้ที่บ่งชี้ว่าจีนมีการใช้กระดาษก่อนหน้าการประดิษฐ์ของไช่หลุนแล้วถึง 100 ปี
ก่อนที่จะมีกระดาษนั้น ชาวจีนเขียนหนังสือลงบนกระดูกหรือไม้ไผ่ที่ผูกติดกันเป็นแพ ซึ่งมีน้ำหนักและกินเนื้อที่มาก และก็มีบางกรณีที่เขียนลงบนผ้าไหม ซึ่งแพงเกินไป การประดิษฐ์กระดาษ ทำให้เกิดการปฏิวัติการเขียนของจีน รวมทั้งเกิดศิลปะจากกระดาษในรูปต่าง ๆ เช่น การห่อสิ่งของ การพับกระดาษ
ส่วน การพิมพ์ นั้น ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์สุย โดยใช้การแกะไม้เป็นแม่พิมพ์ เป็นการปฏิวัติการทำเอกสารครั้งสำคัญ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง ปี้เซิง ราษฎรคนหนึ่งได้คิดวิธีพิมพ์แบบเรียงพิมพ์ โดยแกะดินเหนียวเป็นตัวอักษรเป็นตัว ๆ นำไปเผาไฟให้แข็ง จากนั้นก็เตรียมแผ่นเหล็กที่มีกรอบสี่ด้าน ทายางสนและผงถ่าน เมื่อจะพิมพ์ก็เอาอักษรไปเรียง แล้วลนไฟให้ยางสนละลาย จากนั้นใช้กระดานแผ่นเรียบกดแม่พิมพ์ลงไป ทำให้ตัวพิมพ์ทุกตัวเรียบเสมอกัน ได้เป็นแท่นพิมพ์ พอพิมพ์เสร็จจะเลิกใช้ ก็เอาไปลนไฟอีกครั้งให้ยางสนละลาย เอามือลูบตัวพิมพ์ก็หลุดออกง่ายดาย ซึ่งการใช้ดินเหนียวดีกว่าใช้ไม้ตรงที่ได้ความแข็งของตัวพิมพ์สม่ำเสมอกว่า ไม่มีปัญหาการบวมของไม้ และไม่ติดกับยางสนแน่นจนแกะลำบากเหมือนเนื้อไม้
สี่ประดิษฐ์นี้ เป็นสิ่งที่คนจีนคัดสรรแล้ว ว่าเป็น contribution ที่สำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์โลก ยังไม่นับรวมสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายของจีนที่แพร่หลายสู่โลกตะวันตก เช่น เครื่องกระเบื้อง ลูกคิด หลักปรัชญาเต๋าและขงจื๊อ หรือกระทั่งกำลังทหารของเจงกิสข่าน ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หยวนของจีน ซึ่งเป็นชาวมองโกล
ถ้าจะนับ "กึ๋น" ของจีนให้หมด ก็ยังมีเรื่องที่อาจจะไม่ได้แพร่หลายไปถึง เช่น เรื่องคณิตศาสตร์จีนโบราณ ที่มีความก้าวหน้ากว่าตะวันตกในสมัยเดียวกัน (จัตุรัสกล, สามเหลี่ยมปาสคาล, การคำนวณค่า pi ฯลฯ) หรือจะเป็นความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ การตรวจวัดแผ่นดินไหว ฯลฯ รวมถึงเรื่องที่ยังเป็นที่ถกเถียง ว่าชาวตะวันตกได้รับการถ่ายทอดจากชาวจีนหรือไม่ คือเรื่องแผนที่โลกและเทคโนโลยีการเดินเรือระยะไกล ซึ่งกองเรือของ เจิ้งเหอ เคยใช้ในการเดินทางทั่วโลกมาแล้ว (blog เก่า เคยเขียนถึง)
สิ่งเหล่านี้ จีนสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก โดยรูปแบบที่ไม่เชย ไม่น่าเบื่อ เพราะได้มืออาชีพอย่างจางอี้โหมว และความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่าย แต่ที่สำคัญคือ เนื้อหาภูมิปัญญาในประวัติศาสตร์ของเขา มีอัดแน่นอย่างเหลือเฟือ ชนิดที่หาชาติใดเทียบติดได้ยาก
ทำให้อดคิดไม่ได้ ว่าถ้าอินเดียได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกบ้าง เขาจะถ่ายทอดเรื่องอะไรออกมาบ้าง
แล้วก็อดคิดไม่ได้เช่นกัน ว่าไทยเรามีกึ๋นอะไรบ้างหนอ..
14 ความเห็น:
ณ 9 สิงหาคม 2551 เวลา 22:18 , Isriya แถลง…
ขูดต้นไม้แล้วออกมาเป็นเลขครับ
ณ 10 สิงหาคม 2551 เวลา 02:52 , Beamer User แถลง…
ถ้าเอาแนวนี้หมดทุกประเทศ ก็คงน่าเบื่อพิลึกนะ
อินเดียถ้าจะจัดกีฬาระดับนี้คงต้องถามนักกีฬาในชาติก่อน
ว่าระดับไหน ดูแค่ความพร้อมทางเศรษฐกิจคงไม่ได้ ยี่
สิบปีจะสร้างทันหรือไม่ต้องดูกัน คิดว่าไม่น่าจะได้ เพราะ
ยักษ์ทั้งหลายคงไม่ยอม UK ถ้าหนนี้ดูไม่จืดแบบงวดที่
แล้วงวดหน้ามีปัญหาแน่นอน
ไทยจัดเอเชี่ยนเกมส์ก็ไม่ได้ขี่เหร่อะไรไม่ใช่เหรอ หรือไง เรื่องโชว์ของเก่าคงสู้ไม่ได้เพราะเราแค่หลัก
ร้อย ของเขาหลักพันปี แต่เรื่องหน้าใหญ่พี่ไทยคงไม่
เป็นรองใคร แต่ที่ไม่มีคือเงินจัดกับบารมีในเวทีโลก
นั่นแหละ คราวที่เสนอหน้าไปนั้นมีคนบอกว่า"จนแล้ว
ไม่เจียม เหมือนอังกฤษขอจัดบอลโลกนั่นแหละ"
ถ้าอยากให้ไทยจัดก็ต้องช่วยกันพัฒนา ของไหนเน่า
ก็เข้าเอาปรับปรุงพัฒนา ของไหนดีอยู่แล้วก็รักษาไว้
ณ 10 สิงหาคม 2551 เวลา 08:44 , Thep แถลง…
mk, ฮ่า ๆ ขูดต้นไม้ยังดี Bangkok = เมืองโสเภณีนี่ซิ
fat dog father, ไม่ได้ตั้งคำถามเพราะอยากให้ไทยทำตาม หรืออยากให้อินเดียเป็นเจ้าภาพนะครับ (เรื่องยี่สิบปีนั่น ต้องถาม mk เขา) แค่อดคิดไม่ได้ในอารมณ์รำลึกประวัติศาสตร์น่ะ ว่าอินเดียก็มีภูมิหลังเยอะเหมือนกัน แต่ส่วนมากเป็นซอฟต์แวร์ ในขณะที่จีนจะหนักเรื่องฮาร์ดแวร์ ก็เลยจินตนาการดู
ส่วนที่ถามถึงไทย ก็เป็นอารมณ์ปกติน่ะ ว่ามองคนอื่นแล้ว ก็กลับมามองตัวเองบ้าง ว่าเรามีภูมิหลังอะไรที่เด่นชัดบ้าง ถ้าในอดีตไม่มี ก็ต้องสร้างเอาในปัจจุบันละ
แต่ก็เข้าใจครับ ว่าแต่ละประเทศก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน ไทยไม่ได้เด่นเรื่องประวัติศาสตร์ จะไปทำแนวเดียวกับเขาก็ไม่ใช่เรื่อง
ณ 10 สิงหาคม 2551 เวลา 15:38 , Beamer User แถลง…
เทพ -- ตอบกลาง ๆ นะ มีนัยแอบแฝงเล็กน้อย :)
"Bangkok = เมืองโสเภณีนี่ซิ" พูดถึงเรื่องนี้เราจะรู้
เลยนะครับว่า คนคิดน่ะมันจงใจใส่ความ หรือมีทัศนคติ
ที่ไม่ดีต่อกรุงเทพฯ ประเภทเคยมาแล้วไม่ประทับใจ
ลองไปเที่ยวเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์สิครับ หรือมา
ฮัมบวร์กก็ได้ สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่คนนึกถึงกว่า 80%
ก็คือซ่อง ของฮัมบวร์กอาจจะดีหน่อยคือมีตลาดสดพ่วง แต่ของฮัมบวร์กถ้าคุณมีเงินแค่ร้อยยูโร คุณก็
เที่ยวไม่ได้ ได้แค่ไปเดินดูตามตู้ อาจจะเป็นเมืองที่
ซ่องแพงที่สุดในโลก (เน้นว่าซ่องนะ)
ส่วนทางเอเีชียเรา ผมว่าจีน เกาหลี นั้นก็มีชื่อเสียง
ไม่แพ้กันเท่าไหร่ ตอนนั้นไปโซลมาปรากฎว่าต้อง
ค้างโรงแรมในใจกลางเมือง ไปเดินเล่นหลังโรงแรม
โห มีหมู่บ้านโสเภณีเลย ใหญ่ขนาดเดินได้ทั้งคืนก็
แล้วกัน คุณผู้หญิงที่รับแขกขายดีขนาดต้องวิ่งออก
มาซื้อถุงยางเลย ราคาก็ประมาณสี่พัน ไม่รับแขก
ชาวไทย อินเดีย ฯลฯ รับแต่ญี่ปุ่นและชาติตะวันตก
กับเกาหลีด้วยกัน
เล่าให้ฟังเฉย ๆ รัฐบาลคงต้องสร้างสถานที่ท่องเที่ยว
ในกรุงเทพฯ ที่มีเด่น ๆ ให้มากขึ้นหล่ะนะ เพื่อแก้
ภาพพจน์เหล่านี้ เชียวใหม่ พัทยา ก็โสเภณีเยอะแ่ต่
ภาพอื่น ๆ อาจจะกลบได้ พวกนั้นเลยไม่เขียนใน
พจนานุกรม
สุดท้ายถ้าเราได้จัดกีฬาใหญ่ ๆ เหล่านี้ มีข้อดีมาก
มายเหมือนกันครับ ลงทุนเยอะแต่ได้กำไรเท่าตัว
แต่ผมว่าอินเดียคงจัดได้ยาก ญี่ปุ่นอาจจะขอเบิ้ลก่อน
ได้ด้วยซ้ำ
ณ 10 สิงหาคม 2551 เวลา 21:21 , veer แถลง…
ใช้จรวดทำฝนเทียม? จรวดที่อื่นก็มีแต่ว่าไม่รู้ว่าเขาเอาทำฝนเทียมหรือเปล่าอะครับ.
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 07:12 , Thep แถลง…
fat dog father, เป็นไปได้ไหมว่ามันเกี่ยวโยงกับภาพพจน์ "สยามเมืองยิ้ม" หรือ "nice people" ของเรา? คือเขามองว่าคนไทยดูเป็นมิตร มีหัวใจบริการ แล้วก็เลยเลยเถิดมาถึงเรื่องสาวไทยว่าคงจะสนิทกันได้เร็ว หาเมียง่ายว่างั้นเถอะ
ที่คิดอย่างนี้เพราะเห็นหนังฝรั่งบางเรื่องที่เกี่ยวกับเมืองไทย ทำเรื่องแนว ๆ ว่า มาเที่ยวเมืองไทย เจอสาวไทยเดินสวนกันก็ชวนคุย แล้วก็ไปจบที่โรงแรม
ค่านิยมสาวไทยที่ชอบมีสามีฝรั่งก็คงมีส่วนหนุนภาพพจน์เรื่องนี้ด้วยไม่มากก็น้อย
veer, หมายถึงบั้งไฟเหรอครับ คิดไม่ถึงเหมือนกันนะนี่ ว่าอาจมีอุบายใส่เกลือขึ้นไปโปรยเลี้ยงเมฆด้วย!
อันที่จริง ที่ได้ยินเรื่องเก่า ยุคราว ๆ ร.6 ถึงต้น ร.9 ก็ดูเหมือนจะมียุคทองของวิทยาศาสตร์ไทยเหมือนกันนะ อย่างเรื่องการบิน เรื่องการทำฝนเทียม ฯลฯ
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 07:16 , Thep แถลง…
ปล. คิดว่าถ้าอินเดียเด่นเรื่องปรัชญา จีนเด่นเรื่องวิทยาศาสตร์กายภาพ ไทยก็น่าจะเด่นเรื่องศิลปะ แล้วก็อีกสองเรื่องคือเกษตรกับอาหาร
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 07:19 , veer แถลง…
เคยอ่านเจอว่าบั้งไฟมีสารเคมีที่ทำให้เมฆก่อตัวอะครับ เชื่อได้แค่ไหนก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ.
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 07:32 , veer แถลง…
เคยฟังอ.ทางโบราณฯ พูด แต่ผมก็งงๆ อะนะครับ ช่วงก่อนที่จะมีประเทศไทย คนแถวนี้ก็เหมือนเดินเรือได้ดีเหมือนกัน (แต่จำรายละเอียดอะไรไม่ได้เลย :-P) ... ไม่รู้ว่าจะย้อยไปถึงช่วงนั้นดีเปล่าอะครับ.
ผัดไท อะไรแบบนี้ก็พึ่งมีสมัยจอมพล ป.? พึ่งเปลี่ยนชื่อประเทศพอดีด้วย อร่อยดีด้วย. ถ้าจะเอาไว้อวดก็คงได้อะครับ.
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 07:48 , veer แถลง…
พอหาๆ ไปสักพัก ผมก็เริ่มถามตัวเองเหมือนกันครับว่าหาไปทำไม? ... เรื่องพวกนี้อาจจะไปสนับสนุนได้การท่องเที่ยวได้? (ผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อย).
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 15:11 , Beamer User แถลง…
thep:
"ที่คิดอย่างนี้เพราะเห็นหนังฝรั่งบางเรื่องที่เกี่ยวกับเมือง
ไทย ทำเรื่องแนว ๆ ว่า มาเที่ยวเมืองไทย เจอสาวไทยเดิน
สวนกันก็ชวนคุย แล้วก็ไปจบที่โรงแรม"
เรื่องนี้แค่เปลี่ยนชื่อเป็น "one night stand" ก็จะร้องอ๋อ
ครับ ว่ามันเป็นเรื่องปกติของสังคมฝรั่ง
คนยุโรปที่ผมสัมผัส จะมองหญิงไทยสวยเพราะแปลกตา
ที่สำคัญค่าเงินเราถูก ค่าใช้จ่ายในการหาความสุขข้ามคืน
จึงถูกไปด้วย
จริง ๆ แล้วสังคมคนมีการศึกษาของยุโรป จะคิดต่าง
พวกคนงาน คนขับรถเมล์ คนขับรถบรรทุก ที่มาเที่ยว
เมืองไทย ก็จะไปเที่ยวผู้หญิง ติดใจก็พาผู้หญิงบาร์
กลับไปแต่งงาน ในขณะที่คนมีการศึกษาทั่วไปส่วน
ใหญ่จะมองผู้หญิงที่มีการศึกษา (นิสัย พฤฒิกรรมไม่
เกี่ยว) เพราะคุยกันรู้เรื่อง
คนไทยไม่รู้คิดว่าฝรั่งก็คือฝรั่ง จริง ๆ แล้วส่วนใหญ่
ฝรั่งที่มาแทบไม่มีเงินเก็บ เงินที่ใช้จ่ายตอนมาเที่ยว
ก็คือเงินเก็บ พอไปอยู่ประเทศเขาก็ลำบาก ต้อง
ทำงาน ไม่ใช่ไปอยู่สบาย
สรุปเรื่องที่ฝรั่งคิด ก็แค่โสเภณีไทยราคาถูก หน้าตา
ถูกใจเขา (ปล. ไม่มีฝรั่งคนไหนแยกออกเลยว่า
ใครเป็นสาวประเภทสอง บอกก่อนยังไม่เชื่อ) เขาเลย
ให้ฉายาเมืองหลวงเรา แต่ปัจจุบันเมื่อโลกใกล้กัน
มากขึ้นทัศนคติเริ่มเปลี่ยนแล้วนะครับ ผมเคยนั่ง
อธิบายให้เพื่อนฟังว่าประเทศเรามีอะไรมากกว่าเรื่อง
พวกนี้เยอะ
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 22:13 , Thep แถลง…
veer, เรื่องบั้งไฟ น่าสนใจครับ ต้องลองศึกษาดูบ้าง
เรื่องการเดินเรือ ที่ได้อ่านประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ ก่อนสมัยทวารวดีนั้น ศูนย์กลางของวัฒนธรรมไท-ลาวเคยอยู่ที่ลุ่มน้ำโขง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการค้าทางบกระหว่างจีนกับส่วนอื่นของสุวรรณภูมิ แต่ต่อมาค่อย ๆ ลดบทบาทลงหลังจากที่จีนเริ่มเดินเรือทำการค้าทางทะเล ทำให้ศูนย์กลางย้ายมาอยู่ที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและทางแหลมมลายู (ศรีวิชัย) แทนในสมัยทวารวดี
ทวารวดีก็ยังไม่นับเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ไทย แต่จีนก็เริ่มเดินเรือตั้งแต่ตอนนั้นแล้วครับ
และเรื่องที่เชื่อกันว่าจีนเป็นผู้บุกเบิกให้กับชาวตะวันตก คือเรื่องการเดินเรือระยะไกลในระดับที่ข้ามมหาสมุทร ซึ่งต้องอาศัย navigation ด้วยเข็มทิศและดาราศาสตร์ ไม่ใช่แค่การเดินเรือทำการค้าเลียบชายฝั่งตามปกติน่ะครับ
ณ 11 สิงหาคม 2551 เวลา 22:39 , Thep แถลง…
fat dog father, หนังมันก็มีรายละเอียดอย่างอื่น เช่นเรื่องคนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษด้วยน่ะครับ ประมาณว่า คุยกันไม่รู้เรื่องก็ยังหิ้วเข้าโรงแรมได้
เรื่องความไม่แยกแยะของคนไทย ระหว่างฝรั่งขี้นกกับฝรั่งปกตินี่ ก็พอเข้าใจเหมือนกันครับ แต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่ท่านว่า คือพวกฝรั่งขี้นกนี่แหละ ที่กลับไปคุยโม้ สร้างมโนภาพให้คนทั่วไปฟัง แล้วมันก็ดึงดูดฝรั่งประเภทที่ค้นหาแต่เรื่องอย่างว่าให้มาเมืองไทย โดยที่คนไทยเองก็ชอบที่ได้กะตังค์ มันเลยเสริมกันไปกันมา
ก็คิดว่าต้องช่วยกันทำหลาย ๆ ด้านครับ ถ้าจะลบภาพพจน์ตรงนี้ของเรา
ณ 12 สิงหาคม 2551 เวลา 16:58 , veer แถลง…
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
แสดงความเห็น (มีการกลั่นกรองสำหรับ blog ที่เก่ากว่า 14 วัน)
<< กลับหน้าแรก