Esaan Tones
จาก blog เก่าเรื่อง ไตรยางศ์อยุธยา เมื่อ 7 ปีก่อน ผมทิ้งท้ายไว้ว่าจะเขียนถึงไตรยางศ์อีสานต่อ จนแล้วจนรอดก็หาเวลาเขียนไม่ได้ จนกระทั่งได้ไปร่วม Thailand ICT Camp ที่ชะอำ ซึ่งมีกิจกรรม BarCamp ในวันสุดท้าย ผมไม่เคยร่วม BarCamp มาก่อน แต่ก็ลองเสนอหัวข้อ ไตรยางศ์ไทย-อีสาน
ดู พอได้นำเสนอจึงถือโอกาสนำมาเขียนบันทึกต่อเสียเลย
ก่อนอื่นเพื่อเป็นการปูพื้นสำหรับท่านที่ตามมาอ่านจาก BarCamp และไม่เคยอ่าน blog ของผมมาก่อน ผมมีข้อสังเกตถึงความลักลั่นของการสะกดคำของภาษาอีสานอันเนื่องมาจากการขาดหลักไตรยางศ์ที่แน่นอน ทำให้บางคำเขียนรูปวรรณยุกต์เหมือนภาษาไทยกลางแล้วผันเอา ซึ่งมักเป็นคำที่ใช้ร่วมกับไทยกลาง เช่น เขียน หม้อ
แล้วผันเป็น [หม่อ] แต่พอเป็นคำที่เป็นคำเฉพาะถิ่น เช่น หม้ำ
(ไส้กรอกตับ) ซึ่งออกเสียงว่า [หม่ำ] กลับเขียนแบบแปลงสำเนียงให้คนบางกอกเสร็จสรรพ โดยเขียนเป็น หม่ำ
ปัญหาของการเขียนลักลั่นแบบนี้คือ หลักการอ่านจะไม่แน่นอน เอาหม่ำไปใส่หม้อ
ควรอ่านเป็น [เอ่า-มัม^-ไป่-ใซ^-หม่อ] ตามกฎการผันเสียง หรือควรอ่านเป็น [เอ่า-หม่ำ-ไป่-ใซ^-หม่อ] โดยอาศัยความรู้ทางศัพท์แก้เสียงวรรณยุกต์ในระหว่างอ่าน? และเมื่อเด็กอีสานไปเรียนคำใหม่จากหนังสือ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคำที่เขียนนั้นตั้งใจให้อ่านแบบไทยกลางหรือไทยอีสาน? เช่นคำว่า หล่า
ถ้าอ่านแบบไทยกลางเป็น [หล่า] จะหมายถึงคนสุดท้อง แต่ถ้าอ่านแบบไทยอีสานเป็น [ลา^] จะหมายถึงอาการหน้าเจื่อน แล้วเราก็จะกลับไปสู่ยุค หนังสือหนังหา
สมัยที่ยังเขียน หนังสือ
แบบไม่ใส่วรรณยุกต์ แล้วให้คนอ่านอ่าน หนังหา
คือหาเสียงวรรณยุกต์ที่ถูกต้องมาใส่เอาเอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะใส่วรรณยุกต์ไปทำไมกัน?
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นการสะกดคำ กรุณาอ่านจาก blog Esaan Language Tidbits
สิ่งที่ควรจะเป็นคือเขียนภาษาเขียนเหมือนไทยกลาง แต่ใช้หลักไตรยางศ์เฉพาะของอีสานในการผันเสียง โดยเขียน หม้ำ
แล้วผันเสียงเป็น [หม่ำ] เหมือนที่ผัน หม้อ
เป็น [หม่อ] เพื่อที่จะใช้หลักการเดียวในการอ่านข้อความ เอาหม้ำไปใส่หม้อ
ตลอดข้อความโดยไม่ต้องมีข้อยกเว้น
ไตรยางศ์ขอนแก่น
หลักไตรยางศ์ที่ว่านั้น ไทยแต่ละถิ่นก็จะมีหลักของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นล้านนา สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช บางกอก ขอนแก่น อุบลฯ เลย ฯลฯ ซึ่งจะทำให้อ่านข้อความเดียวกันที่เขียนด้วยอักษรไทยออกไปได้ตามสำเนียงของถิ่นตน โดยในที่นี้ผมขอพูดถึงสำเนียงขอนแก่นที่เป็นสำเนียงบ้านผมเท่านั้น
สำเนียงขอนแก่น มีวรรณยุกต์ทั้งหมด 5 เสียง
- เสียงเอก ตรงกับเสียงเอกในภาษาบางกอก เช่น ในคำว่า กิน ขาด ปาก หม้อ เข้า
- เสียงโทต่ำ คล้ายเสียงโทของภาษาบางกอก แต่เสียงต่ำกว่า (ต้นพยางค์เท่า ๆ กับเสียงสามัญของบางกอก แล้วลงต่ำที่ท้ายพยางค์) เช่น ในคำว่า ป้า (น้ำไหล)โจ้ก ค้า เคียด
- เสียงสามัญสูง เสียงเป็นระดับเดียวตลอดพยางค์เหมือนเวลาออกเสียงสามัญ แต่เสียงสูงกว่าเสียงสามัญของบางกอก เช่น ในคำว่า เต่า ข่า พ่อ งึด
- เสียงโท ตรงกับเสียงโทของภาษาบางกอก เช่น ในคำว่า คา งู มา
- เสียงจัตวา ตรงกับเสียงจัตวาของภาษาบางกอก เช่น ในคำว่า ขา กบ เห็ด
การเขียนบรรยายเสียงอ่าน จะมีสองเสียงที่เสียงไม่ตรงกับภาษาบางกอก คือเสียงโทต่ำและสามัญสูง จึงขอเขียนเครื่องหมายพิเศษเพื่อกำกับเสียง โดยเสียงโทต่ำจะเขียนเสียงโทแล้วตามด้วยขีดล่าง (_) เช่น ป้า [ป้า_], โจ้ก [โจ้ก_], ค้า [ค่า_], เคียด [เคียด_] ส่วนเสียงสามัญสูงจะเขียนเสียงสามัญแล้วตามด้วยหมวก (^) เช่น เต่า [เตา^], ข่า [คา^], พ่อ [พอ^] ยกเว้นกรณีที่ไม่สามารถเขียนเสียงสามัญได้ จะเขียนเสียงอื่นโดยอนุโลมแล้วใช้หมวกกำกับเสียง เช่น งึด [งึด^], คัก [คัก^]
หลักการผันวรรณยุกต์
คำเป็น
- อักษรกลางรูปสามัญ (เช่น กิน) สำเนียงอีสานแต่ละถิ่นจะออกเสียงกันหลากหลาย สำเนียงขอนแก่นผันเป็นเสียงเอก สำเนียงอุบลฯ ผันเป็นเสียงสามัญเหมือนบางกอก (ทำให้สำเนียงอุบลฯ มีเสียงวรรณยุกต์ 6 เสียง เพิ่มเสียงสามัญแบบบางกอกเข้ามาอีกหนึ่ง)
- อักษรสูงรูปสามัญ (เช่น ขา) ผันเป็นเสียงจัตวาเหมือนบางกอก
- อักษรต่ำรูปสามัญ (เช่น คา) ผันเป็นเสียงโท
- รูปเอก (เช่น เต่า ข่า ค่า) ผันเป็นเสียงสามัญสูงทั้งสามหมู่
- รูปโทสำหรับอักษรกลางและอักษรต่ำ (เช่น ป้า ค้า) ผันเป็นเสียงโทต่ำ
- รูปโทสำหรับอักษรสูง (เช่น ข้า) ผันเป็นเสียงเอก
- รูปตรีและจัตวาสำหรับอักษรกลาง (เช่น ป๊า โป๊ ป๋า) ไม่มีในคำอีสาน เป็นการยืมจากภาษาบางกอก จึงใช้วิธีเทียบเสียงกับหมู่อื่น เช่น
โป๊
[โป้_] เทียบกับเสียงตรีของอักษรต่ำ (เช่น ค้า) แต่ป๊า
[ปา^] ออกเป็นสามัญสูงเพื่อเลียนเสียงตรีของบางกอก ส่วนรูปจัตวา ผันเป็นเสียงจัตวาตรงตัว เช่นป๋า
[ป๋า]
คำตายสระเสียงยาว
- รูปสามัญสำหรับอักษรกลางและสูง (เช่น เกิบ ขาด) ผันเป็นเสียงเอกเหมือนบางกอก
- รูปสามัญสำหรับอักษรต่ำ (เช่น เคียด) และรูปโทสำหรับอักษรกลาง (เช่น โจ้ก) ผันเป็นเสียงโทคล้ายบางกอก แต่ระดับเสียงเป็นโทต่ำ
- รูปโทสำหรับอักษรสูง ไม่พบคำที่สะกดจริง แต่สามารถเทียบกับการผันเป็นเสียงโทของบางกอกได้ แต่ระดับเสียงเป็นโทต่ำ
- รูปตรีสำหรับอักษรกลาง (เช่น โจ๊ก) และรูปโทสำหรับอักษรต่ำ (เช่น โค้ก) เป็นคำยืมจากภาษาบางกอก จึงเลียนเสียงตรีของบางกอกด้วยเสียงสามัญสูง
- รูปจัตวาสำหรับอักษรกลาง ไม่พบคำที่สะกดจริง แต่สามารถเทียบกับการผันเป็นเสียงจัตวาของบางกอกได้ และออกเป็นเสียงจัตวาตรงตัว
คำตายสระเสียงสั้น
- รูปสามัญสำหรับอักษรกลาง (เช่น จก) และอักษรสูง (เช่น ขัด) ผันเป็นเสียงจัตวา
- รูปสามัญสำหรับอักษรต่ำ (เช่น งึด) ผันเป็นเสียงตรีคล้ายหลักของบางกอก แต่ออกเสียงเป็นสามัญสูง
- รูปเอกสำหรับอักษรต่ำ (เช่น ค่ะ) เป็นคำยืมจากภาษาบางกอก และผันเป็นเสียงโทเหมือนบางกอก
- รูปโทสำหรับอักษรกลาง (เช่น จึ้ก) ผันเป็นเสียงโทคล้ายหลักของบางกอก แต่ระดับเสียงเป็นโทต่ำ
- รูปโทของอักษรสูง ไม่พบคำที่สะกดจริง แต่สามารถเทียบกับการผันเป็นเสียงโทของบางกอกได้ แต่ระดับเสียงเป็นโทต่ำ
- รูปตรีของอักษรกลาง (เช่น กั๊ก) เป็นคำยืมจากภาษาบางกอก และเลียนเสียงตรีของบางกอกด้วยเสียงสามัญสูง
- รูปจัตวาสำหรับอักษรกลาง ถือว่าเสียงซ้ำกับรูปสามัญ ไม่ควรมีรูปเขียน แต่ถ้าให้ออกเสียง ก็ออกเป็นเสียงจัตวา
รูปสะกดที่คลาดกับไทยกลาง
หลักไตรยางศ์ข้างต้นสามารถใช้ได้กับทุกกรณี แต่คนอีสานอาจสังเกตพบบางคำที่เสียงอ่านไม่เป็นไปตามกฎนี้ เช่น น้ำท่วม [น่าม_-ถ่วม ไม่ใช่ น่าม_-ทวม^], คอยท่า [ค่อย-ถ่า ไม่ใช่ ค่อย-ทา^], ฆ่างัว [ข่า-งั่ว ไม่ใช่ คา^-งั่ว] ฯลฯ ทั้งนี้เป็นเพราะวิวัฒนาการของการสะกดคำของบางกอกได้เลือกเอาตัวสะกดที่ไม่ตรงกับอีสานไว้ กล่าวคือ:
- น้ำท่วม ภาษาลาวปัจจุบันใน สปป. ลาวสะกดคำนี้ว่า
ນ້ຳຖ້ວມ
(น้ำถ้วม) ซึ่งเมื่อผันตามหลักไตรยางศ์ข้างต้นจะออกเสียงได้เป็น [น่าม_-ถ่วม] ตรงตามความเป็นจริง - คอยท่า ภาษาลาวปัจจุบันใน สปป. ลาวสะกดคำนี้ว่า
ຄອຍຖ້າ
(คอยถ้า) ซึ่งผันเสียงเป็น [ค่อย-ถ่า] ตามภาษาที่พูดกัน - ฆ่าวัว ภาษาลาวปัจจุบันใน สปป. ลาวสะกดคำนี้ว่า
ຂ້າງົວ
(ข้างัว) โดยคำว่าฆ่า
นี้ จารึกสุโขทัยเองก็สะกดว่าฃ้า
(ซึ่งใช้ ฃ ขวด เป็นคนละคำกับข้า
ที่หมายถึงผู้อยู่ใต้ปกครอง) ต่อมาจึงได้วิวัฒน์การสะกดเป็นฆ่า
ในภายหลัง (อ่านเพิ่มเติมได้ใน blog เก่า)
ยังมีคำอื่น ๆ ในทำนองนี้ เช่น ໜ້າຮັກ
(หน้าฮัก = น่ารัก), ຫຼິ້ນ
(หลิ้น = เหล้น = เล่น) ซึ่งทำให้เห็นว่าการเสาะหาตัวสะกดที่สูญหายไปของภาษาอีสานอาจหาได้จากแหล่งใกล้เคียงคือภาษาลาวใน สปป. ลาวนั่นเอง
ย ยุง กับ ย ยา
อีกประเด็นหนึ่งที่สร้างความสับสนให้กับผู้ฝึกภาษาอีสานได้ไม่น้อยคือความแตกต่างระหว่าง ຍ ຍຸງ
(ย ยุง) กับ ຢ ຢາ
(ย ยา) ที่ผันวรรณยุกต์คนละแบบ เพราะ ຍ ຍຸງ นั้นนับเป็นอักษรต่ำ (เดี่ยว, นาสิก) ในขณะที่ ຢ ຢາ จะเทียบเท่ากับ อ นำ ย ในภาษาไทย และผันอย่างอักษรกลาง ซึ่งภาษาไทยปัจจุบันเหลือคำที่ใช้ อ นำ ย อยู่แค่ 4 คำ คือ อย่า อยู่ อย่าง อยาก แต่ในภาษาลาวและอีสานยังคงรักษาคำไว้มากกว่านั้น ตัวอย่างเช่น
- ຢືນ (อยืน) [หยื่น] หมายถึงอาการตั้งตัวตรงบนพื้น ซึ่งจารึกสุโขทัยก็สะกดว่า
อยืน
จนต่อมาวิวัฒน์เหลือยืน
และกลายเป็นคำพ้องรูปกับยืน
ที่หมายถึงความยาวนาน เช่นในคำว่ายั่งยืน
แต่ในภาษาลาวยังคงสะกดคำหลังนี้ต่างกันเป็นຍືນ
(ยืน) โดยใช้ ຍ ຍຸງ
ดังนั้น ชื่ออำเภอพระยืน
[พะ^-หยื่น] จึงผันวรรณยุกต์ต่างจากชื่ออำเภอเชียงยืน
[เซี่ยง-ญื่น] - ຢາງ (อยาง) [หย่าง] ใน
ยางพารา
[หย่าง-พ่า-ล่า] และยางรถยนต์
[หย่าง-ลด^-ญ่น] ก็ผันวรรณยุกต์ต่างจาก ຍາງ (ยาง) [ญ่าง] ในต้นยางนา
[ต้น_-ญ่าง-น่า] - ຢາຍ (อยาย) [หย่าย] ที่หมายถึงการกระจายข้าวของ ก็ผันวรรณยุกต์ต่างจาก ຍາຍ (ยาย) [ญ่าย] ที่หมายถึงแม่ของแม่
ป้ายกำกับ: language