Sunday Nostalgia
บันทึกรำพันวันอาทิตย์.. (ถึงจะล่วงเลยมาถึงจันทร์แล้วก็เถอะ) บางจังหวะของชีวิต ที่ได้หยุดพักจากความวุ่นวายของหน้าที่การงาน ก็ได้มานั่งทบทวนการใช้ชีวิตที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อถูกกระตุ้นจากการได้ไปพบกับสถานที่เก่าๆ..
นั่งทบทวนตั้งแต่ต้นมา ก็สรุปชีวิตของตัวเองหลังจากออกจากที่ทำงานแรกว่า เป็นชีวิตแบบ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” แต่เหมือน Tantalus ที่ไม่ได้ “กินหวาน” เสียที
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ผมพบตัวเองว่าชอบสายวิทย์ตอน ม.ต้น ตัดสินใจให้กับตัวเองได้ตอน ม.ปลาย ว่าจะเรียนสายวิศวฯ คอมพิวเตอร์ ตอนสมัครสอบเอนท์ ผมเลือกไม่ยากเลย เขาให้เลือก 6 อันดับ มี 8 เกียร์ให้เลือก โดยพระนครเหนือไม่รับทางการสอบ แล้วก็ตัด มอ. ที่ไกลบ้านออก แล้วก็กรอกเรียงคะแนนลงไปเลย ติดอันไหนเอาอันนั้น สถาบันไม่ค่อยสำคัญ ขอให้ได้เรียนสายที่ต้องการเป็นพอ
เรียนไปๆ ก็พบได้ไม่ยากว่าตัวเองทำได้ดีในสายทฤษฎีและซอฟต์แวร์ (จริงๆ น่าจะเรียน comp sci ไปซะ แต่ตอนนั้น มธ เพิ่งเปิดที่เดียว) ส่วนฮาร์ดแวร์นั้น ทำได้แค่พอผ่าน จบมาก็ตรงดิ่งเข้า software house แล้วก็ทำงาน coding อย่างเมามัน เรียกได้ว่า เป็นชีวิตที่ดำเนินแบบไม่ต้องคิดมากเลย รู้สึกเหมือนว่า สามารถใช้ความสามารถถึงขีดสุดเท่าที่ต้องการ จะบอกว่ามีกลีบกุหลาบโรยไว้ก็ไม่ผิดนัก
แต่หลังจากออกจากที่แรกมาแล้ว (ทั้งที่ใจจริงไม่อยากออกเลย) พยายามใช้ชีวิตอิสระ ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือที่อยากอ่าน รับงานเฉพาะเวลาที่มีงานมา แต่คาดไม่ถึง ว่าตัวเองยังไม่แกร่งพอจะทำอย่างนั้นได้ พอไม่มีระเบียบคอยบงการชีวิต ก็ถึงกับทำอะไรไม่เป็น หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ได้ 10 เดือน ก็รู้สึกเสียดายเวลาและความสามารถของตัวเอง ถึงได้ออกสมัครงาน
นั่นแหละ ถึงได้มาอยู่เนคเทค แล็บที่สมัครเข้าไปนั้น เป็นแล็บ NLP ถึงแม้ NLP จะเป็นวิชาที่ไม่ถนัด แต่ก็คิดว่าฉันทะใน AI กับ software engineering ของตัวเองน่าจะช่วยได้ แต่ก็นั่นแหละ เป็นการเริ่มชีวิตแบบ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ของผมละ คืออยากจะทำงานวิจัยกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่มีความถนัดในเรื่องที่เขาต้องการ ส่วนความถนัดที่มี ก็ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการ :-P ก็เลยรับลุยแต่งาน develop จนจับพลัดจับผลูได้มาทำระบบภาษาไทย ก็ตีวงไว้กับตัวเอง ว่าจะทำเฉพาะในขอบเขตที่ deterministic อย่างเรื่อง encoding, sorting, input/output อะไรพวกนี้เท่านั้น ส่วนถ้าเข้าสู่ NLP จะเว้นไว้ให้คนที่ถนัดทำ
ที่พยายามเร่งระบบภาษาไทยส่วนที่เหลือให้ถึงจุดที่พอใจ ก็เพื่อจะได้กลับไปรื้อฟื้นเรื่องที่ตัวเองฝันไว้ โดยไม่รู้สึกติดค้าง และที่ตีวงไว้ก็เพื่อกันไม่ให้ตัวเองถลำไปมากเกินไป แต่ปัญหาที่ยังคงอยู่คือ จะทำสำเร็จก็ต้องใช้เงิน ทั้งเลี้ยงตัวเองและช่วยค่าใช้จ่ายของที่บ้าน แต่ทำระบบพื้นฐานอย่างนี้ มันเลี้ยงตัวไม่ได้ หานายทุนลำบาก ก็ต้องรับงานชนิดอื่นประกอบ ทั้งระบบฐานข้อมูลและระบบเครือข่าย ความจริงแล้ว การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นจุดอ่อนของตัวเอง ก็เป็นเรื่องดี ที่ทำให้เรารู้รอบมากขึ้น แต่ในอีกทางหนึ่ง มันก็ทำให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น และบรรลุเป้าหมายช้าลง มันเหมือนกับ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน แต่จะกินเปรี้ยว ก็ต้องอดขมก่อนอีก เป็นทอดๆ ไป ก็ไม่รู้นะ ที่พร่ำๆ อยู่นี่ ไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจเรียนรู้ เพียงแต่กำลังรู้สึกว่ากำลังห่างจากเส้นทางเดิมไปเรื่อยๆ มากกว่า และชีวิตคนเราก็สั้น พอถึงจุดหนึ่ง ก็จะต้องมีความเป็น “มืออาชีพ” ไม่ใช่จะทำงานทีก็มาเริ่มอ่าน ก ข ก กา (กับเรื่องใหม่) ตลอด
แต่ไม่มีอะไรเสียหายสำหรับการเรียนรู้ ที่ผ่านมา ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่ใฝ่ฝัน แต่ความรู้ทุกอย่างก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ผมอาจจะได้ใช้มันประกอบเพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายที่ต้องการก็เป็นได้
รำพันจบ ทำงานต่อ.. :-P
2 ความเห็น:
ณ 26 กรกฎาคม 2547 เวลา 23:03 , Beamer User แถลง…
"พอถึงจุดหนึ่ง ก็จะต้องมีความเป็น “มืออาชีพ” ไม่ใช่จะทำงานทีก็มาเริ่มอ่าน ก ข ก กา (กับเรื่องใหม่) ตลอด"
ชอบ เขียนได้ดีแทงใจดำมาก
ณ 27 กรกฎาคม 2547 เวลา 01:05 , the ancient แถลง…
paradoxically no comment.
แสดงความเห็น (มีการกลั่นกรองสำหรับ blog ที่เก่ากว่า 14 วัน)
<< กลับหน้าแรก