ความเป็นไปของเมือง
วันนี้ fine tune ฟอนต์ Kinnari และ Garuda เกี่ยวกับการวางตำแหน่งวรรณยุกต์ ดังที่ได้ทำกับ Norasi ไปแล้ว โดยมีหยุดพักช่วงบ่ายนิดหน่อย ออกไปช็อปปิ้งกับแม่ที่บิ๊กซี (กล่าวคือ ไปช่วยถือของ)
เห็นมีข่าวลือหนาหู ว่าเซนทรัลเริ่มวางแผนสร้างสาขาที่ขอนแก่นแล้ว โดยจะสร้างในบริเวณบิ๊กซี วันนี้เพิ่งได้ไป ก็ไม่รู้หรอก ว่าจุดที่สร้างคือตรงไหน แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงคือ ลานด้านหน้าและที่จอดรถ เตียนโล่ง ไร้ซึ่งชายคาบังแดด อืมม์.. ถ้าเซนทรัลมาจริง คราวนี้ ห้างและร้านค้าท้องถิ่นคงเจอศึกหนัก ความจริง ศึกนี้มันเกิดมาเป็นทอดๆ ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนโน้น ห้างแฟรี่เปิดดีพาร์ทเมนต์สโตร์ ขายของลดราคา แถมมีแอร์เย็นฉ่ำ เลือกของได้ตามใจชอบ ปรากฏว่า ร้านโชว์ห่วยของแม่ และร้านอื่นๆ ทั่วไป เสียลูกค้าไปมาก ทำให้ต้องงัดกลยุทธ์การสั่งของเพื่อให้ได้ราคาถูก เพื่อให้สู้ราคาได้ แล้วก็พยายามรักษาลูกค้าเดิมที่มาจากต่างอำเภอไว้ให้มากที่สุด
ต่อมา มีแมคโคร โลตัส และบิ๊กซี มาเปิด ชาวบ้านชาวเมืองแห่กันไปซื้อของราคาถูก แม้ต้องขับรถออกไปนอกเมืองก็ถือว่าคุ้ม ถ้าซื้อเป็นล็อตใหญ่ เพราะของบางอย่าง ได้ราคาถูกกว่ายี่ปั๊วซะอีก เถ้าแก่ร้านค้าปลีกทั้งหลายเลยมีบัตรสมาชิกแมคโครกันถ้วนหน้า แม่บ้านถือถุงบิ๊กซีกันเกลื่อนเมือง คราวนี้ ห้างแฟรี่เองเป็นฝ่ายโดนแย่งลูกค้า แต่อาศัยข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง และอยู่ใกล้โรงเรียนหลายแห่ง ก็เลยทำให้อยู่รอดมาได้ ส่วนร้านโชว์ห่วย ตอนแรกก็ชอบใจที่มีแหล่งสั่งซื้อสินค้าต้นทุนต่ำ และยินดีที่เห็นความเจริญเข้ามาในเมืองตัวเอง แต่ความจริงก็คือ ลูกค้าเขาก็มีสิทธิ์ไปซื้อเหมาโหลเองได้ ทำให้มีผลต่อกิจการของตัวเองเหมือนกัน
อันที่จริง การเข้ามาของธุรกิจจากส่วนกลาง น่าจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้ความสะดวกต่างๆ มาถึงเมือง แต่จะว่าไปก็น่าเห็นใจธุรกิจท้องถิ่น อุตส่าห์ช่วยกันกรุยทาง ปูพื้นฐานเมืองขอนแก่นจนกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจ สุดท้ายก็กลายเป็นเป้าหมายของธุรกิจจากส่วนกลาง ตอนนี้เท่าที่มองๆ ไป ก็เห็นมีท่าทีกันหลายอย่าง บางคนก็อนุรักษ์นิยม พยายามรักษากิจการเดิมของตัวเองให้อยู่รอด และต่อต้านธุรกิจจากส่วนกลาง บางคนก็ปรับตัว เช่น เข้าไปถือหุ้นด้วยเสียเลย ส่วนที่เหลือก็หันไปทำธุรกิจอย่างอื่น เรียกว่า หลายปีที่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ขอนแก่นเปลี่ยนแปลงไปมาก ร้านทอง ร้านโทรศัพท์มือถือ โผล่กันพรึ่บพรั่บ มีช่วงหนึ่งที่อินเทอร์เน็ตบูม ร้านเน็ตก็เกลื่อนกลาดเหมือนกัน (แต่แล้วก็ทยอยตาย เพราะตัดราคากันมากเกินไป)
บางวัน ที่ผมได้เดิน/นั่งรถสำรวจเมือง จะเห็นร้านเก่าๆ หลายร้านที่เคยรู้จัก มีอันปิดกิจการไป โดยที่ชื่อร้านก็ยังติดหราอยู่ ร้านพวกนี้ จำนวนมากเป็นร้านตัดเสื้อ แล้วก็มีบ้างที่เป็นร้านเครื่องเขียน หรือร้านขายของชำ ร้านพวกนี้ส่วนมากเป็นประเภทไม้กำลังผลัดใบ เมื่อรุ่นลูกสามารถเรียนสูงๆ และไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่งเงินมาให้พ่อแม่ ส่วนพ่อแม่เอง ก็ทำงานหนักเหมือนเดิมไม่ไหว ร้านที่มีอยู่ ก็เลยกลายสภาพเป็นที่อยู่อาศัย รักษากรรมสิทธิ์ในที่ดินไว้ รอลูกกลับมาใช้ประโยชน์
ผมเอง เคยตั้งปณิธานไว้ตอนที่เอนทรานซ์ติด ว่าจบแล้วตั้งตัวได้ จะกลับมาทำงานที่บ้าน (เน่าซะไม่มี) วันนี้ ได้กลับมาบ้านสมใจ แต่เรื่องตั้งตัวนั้น ยังยากอยู่ บ้านที่พ่อแม่รักษาไว้นั้น ยังใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มากกว่าการเป็นที่พักอาศัย และเป็นที่ทำงานส่วนตัว มีญาติพี่น้องที่เป็นนักธุรกิจมาถามเหมือนกัน ว่าผมทำอะไรอยู่ แล้วก็เทศน์เสียยกใหญ่ ว่าในโลกทุนนิยมอย่างนี้ ยังคิดจะทำอะไรฟรีๆ แบบลินุกซ์อีก แล้วจะเอาอะไรเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ผมก็ไม่มีอะไรจะเถียง.. เพราะผมเองก็เฝ้ารอวันที่จะทำสิ่งที่มุ่งหวังให้บรรลุ ก่อนที่จะเริ่มทำอะไรอย่างอื่นต่อไปเหมือนกัน.. อาจจะเรียนต่อ หรือทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ไว้ค่อยๆ คิด..
13 ความเห็น:
ณ 13 มิถุนายน 2547 เวลา 06:54 , bact' แถลง…
ผมก็ยังไม่รู้เลยพี่
คือรู้ว่าอยากทำอะไรนะ
แต่ไม่รู้ว่า มันจะตั้งตัวได้มั๊ย
จะหาตังค์ไปคืนพ่อแม่ได้มั๊ย ยังไม่ต้องถึงขนาดเลี้ยงหรอก
ไหนจะไปขอลูกสาวชาวบ้านอีก หึหึ
ไอ้สาขาที่เรียนนี่ มันจะทำงานอะไรได้บ้างเนี่ย
เมืองไทยของเรา (เบียร์ไทยของเรา)
ณ 13 มิถุนายน 2547 เวลา 20:58 , Beamer User แถลง…
ไร้สาระจริง ๆ bact' ผมว่าดู mk เดะ มีตังค์ใช้เองตั้งแต่เรียนตรี
การที่บิ๊กซีมาตั้งก็ดีแล้วดีกว่า คาฟูร์ โลตัส หึ หึ
เซ็นทรัลมันก็เจ้าของเดียวกันกับบิ๊กซีนั่นแหละ
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 00:09 , Thep แถลง…
โลตัสมาแล้วไงครับ ☺ แต่บิ๊กซีเขาโชว์จุดขาย ว่าเขาจ่ายภาษีคืนให้ท้องถิ่น แล้วก็ได้ยินมาว่าห้างท้องถิ่นก็ถือหุ้นในบิ๊กซีด้วย เลยออกจะได้เปรียบในภาพความใกล้ชิดท้องถิ่น ส่วนเรื่องเจ้าของเดียวกับเซนทรัล ก็ทราบครับ แต่ที่ไม่แน่ใจคือจุดที่จะสร้างเซนทรัลมากกว่า ข่าวบอกว่าจะสร้างในบริเวณเดียวกันเลย (ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยสร้างรวมกันนิ?) ความจริงถ้านับพื้นที่ลานจอดรถหน้าบิ๊กซี ก็กว้างพอดูอยู่ อาจเป็นตรงนั้นก็ได้
bact' เขาหมายถึงงานหลังเรียนจบแล้วมัง ความจริงกู้เงินพ่อแม่เรียนก็เป็นวิธีที่ไม่เลวนะ
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 01:33 , Beamer User แถลง…
ที่ว่าไร้สาระคือ ไอ้สาขาที่เรียนยังไม่รู้จะไปทำอะไรได้บ้างเนี่ย
แล้วเรียนทำไม เสียเงินเรียนไปตั้งมากมาย ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกจะ
มาเยอรมันซึ่งถูกกว่าตั้งเยอะ
บิ๊กซีกะกวาดระดับกลางถึงล่างไงครับ
เซ็นทรับนี่ก็กวาดระดับกลางถึงสูง
ที่เซ็นทรับพระรามสอง ก็ตั้งอยู่ตรงข้ามกันเลย เซ็นทรับบางนาก็อยู่ติดกัน
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 01:37 , Beamer User แถลง…
ที่ว่าไร้สาระคือ ไอ้ที่เรียนอยู่แล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้บ้างไง
นี่ไปสก็อตค่าเรียนแพงกว่าเยอรมันที่ตั้งใจจะไปเรียนตอนแรกอีก
กลับมาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ทั้ง ๆ ที่มันควรจะรู้ก่อนเรียนแล้ว
เรื่องเซ็นทรัล ที่พระรามสอง นี่อยู่ตรงข้ามกับบิ๊กซีเลยครับ ที่บางนาก็
อยู่ติดกัน คือเป็นลักษณะที่ถ้ามีกำลังซื้อเมื่อไหร่ก็ขอกวาดหมดทั้งสูง
ต่ำ กลางเลย เพราะของที่ขายมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 01:49 , Beamer User แถลง…
post 3 ทีแล้วน่ะ
เซ็นทรัล กับบิ๊กซี ที่พระรามสองอยู่คนละฝั่งถนนกันครับ ที่บางนาอยู่ติดกัน
คือต้องการกวาดลูกค้าทุกระดับเลย
bact' มันไร้สาระไม่มีจุดหมาย ก่อนเรียนก็ควรจะรู้ว่าอยากจะทำอะไร นี่มัน
ปริญญาโทแล้ว ไม่มีใครมาจูงจมูกแล้ว ไอ้เรียนจบแล้วยังไม่รู้จะทำอะไรนี่มัน
กู้เงินพ่อแม่เรียนโทน่ะ มันงี่เง่าสิ้นดีน่ะครับ จบตรีก็ควรคืนท่านบ้างได้แล้ว
จะให้เลี้ยงกันไปจนตายเลยหรือไง
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 10:23 , Isriya แถลง…
ไหนใครบอกว่าหาเงินจากโอเพ่นซอร์สไม่ได้ ผมทำได้คนนึงนะ หุๆ
บ้านผมก็คล้ายๆ กันครับ (อยู่โคราชน่ะ) มีครบเกือบทุกห้างแล้ว แมคโคร บิ๊กซี โลตัส เดอะมอลล์ ถ้าขับรถมาจากกรุงเทพไปขอนแก่น (สายเก่าไม่บายพาส) จะเห็นครบทุกห้างเลย เย้
โลตัสกับเดอะมอลล์ก็อยู่หลังบ้านผมเอง ข้อเสียอย่างแรงที่นึกออกคือทำให้รถติดขึ้นแยะเลย ถ้าไม่มีบายพาส ช่วงสงกรานต์คงวิกฤตยิ่งกว่านี้อีก
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 14:54 , Thep แถลง…
กู้เงินเรียนก็โอเคนะ ถ้าพ่อแม่ยังไม่ต้องรีบใช้เงินก้อนนี้ ยังไงก็ไม่ได้ "ขอ" เลยนี่ จบมาก็มาใช้ทุนคืน (แต่สำหรับผม พ่อแม่อาจไม่มีกำลังทรัพย์พอ ท่านเองก็มีความจำเป็นบางอย่าง)
ตอบ Mk: ที่โอเพนซอร์สหาตังค์ได้ มันมักไม่ใช่แบบที่ผมทำอยู่ไง คือเขียนโปรแกรม (โดยเฉพาะถ้าเป็นส่วนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่โปรแกรมสำเร็จรูปที่อาจจะหานายทุนง่ายกว่า) ส่วนมากต้องเป็นงานอื่น เช่นเขียนบทความอย่าง Mk หรือรับจ้างทั่วไปแบบที่ผมทำสลับอยู่ แต่ผลก็คือ ผมก็ไม่ได้ประโยชน์เป็นตัวเงินจากงานหลักโดยตรงอยู่ดี ถ้าเป็นแผนกในบริษัทก็ต้องถูกเพ่งเล็งแล้วว่าเป็นภาระให้กับแผนกอื่น ดังนั้น เพื่อให้บัญชีไม่ติดลบ ผมก็เลยต้องสลับไปทางโน้นที ทางนี้ที ก็เลยไม่ค่อยมีโฟกัสกับงานเท่าที่ควร ที่ผ่านมา โฟกัสผมอยู่ที่ระบบภาษาไทย แต่ก็ต้องสลับไปรับงานคอนฟิกเน็ตเวิร์คบ้าง เซ็ตระบบทีวีวงจรปิดบ้าง หรือเขียนโปรแกรมบัญชี ซึ่งค่อนข้างห่างไกลจากความสนใจหลัก แล้วงานแต่ละอย่างก็ต้องเสียเวลาเรียนรู้ด้วย สรุปว่าทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมไม่ดีสักด้าน ดีไม่ดีจะเสียชื่อเสียงเอา
ตอนนี้ เริ่มมีแนวคิดว่า จะกัดฟันทำเรื่องที่สนใจให้ล่วงลุ โดยไม่รับงานอื่น เพื่อจะได้มีโฟกัสเต็มที่ จากนั้นก็ปล่อยมือไปเลย ไปทำสิ่งที่ "หาตังค์ได้" จากโอเพนซอร์สมาชดเชยอีกที (แนวคิดเหมือนกู้ตังค์ตัวเองล่ะนะ ซึ่งก็ต้องประเมินก่อน ว่ามีกำลังทรัพย์พอไหม)
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 16:24 , Beamer User แถลง…
คือวงจรนี้มันทำให้ทุกคนไม่รู้จักคำว่าพอไงเทพ โดยเฉลี่ยคนรุ่นคุณ พ่อแม่น่าจะมีอายุ
ราว ๆ 50 ขึ้นไป ในขณะที่ลูก ๆ คนสุดท้ายจบปริญญาตรีแล้ว ซึ่งลูก ๆ ควรจะเลี้ยงตัวเอง
ได้ พัฒนาตัวเองได้ และให้อะไรท่านกลับคืน
หลายคนควรจะคิดได้แล้วว่าคนอายุเกิน 60 ปี นั้น สุขภาพร่างกายมีแต่เสื่อม สิ่งที่เคย
ทำได้ก็จะทำได้น้อยลงไป ดังนั้นถ้าคิดว่าสังคมไทยยังมีข้อดีอยู่เมื่อพ่อแม่ใกล้วัย 60 ปี
ก็ควรจะเริ่มวางแผนให้ท่านได้อยู่อย่างสบาย
ลองคิดดูสิครับ ถ้ามีพี่น้อง 4 คน คนโตกู้พ่อแม่เรียนโท นั่นแสดงว่าอีก 3 ต้องกู้ได้
คิดในแง่ร้ายที่สุด 3 คนนั้นกู้หมดเลย ถ้าไอ้คนโตจบโทมาแล้วยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้
มันงอกเงย ซักวันมันก็จะต้องคิดเรียนเอก แล้วก็ต้องกู้อีก แล้วอีกสามคนที่เหลือ
หล่ะ มันก็ต้องกู้พ่อแม่อีก แต่งงานจัดงานแต่งซะใหญ่โต ก็พ่อแม่อีก ถ้าพ่อแม่มี
ตำแหน่งใหญ่โตก็ต้องหาให้ลูก ถ้าพ่อแม่ค้าขายก็ต้องหาให้ลูก หาให้ไปจนตาย
นั่นแหละ
ยิ่งลูกผู้ชายน่ะครับ ห้ามเลยครับ ห้ามคิด โอเคถ้าเดือดร้อนจริง ๆ ทำได้เป็นเรื่องดี
แต่ต้องให้ดอกผลกับพ่อแม่นะครับ พี่ชายผมเป็นตัวอย่างที่ดีมาก เค้ากู้แม่เพื่อไป
ลบหนี้ตอนซื้อรถเพราะดอกเบี้ยมันแพง จะให้ดอกเบี้ยคนอื่นทำไม ก็เอาดอกเบี้ยนั้น
มาให้แม่ซะ ท่านไม่ได้เอาเงินไปทำอะไรหรอก ก็เก็บไว้ให้เรา ๆ นั่นแหละ (หลาน ๆ)
ทุกวันนี้คืนให้แม่หมดแล้ว แต่ก็ยังให้เงินแม่เหมือนเดิม นี่อายุแค่ 34 ปีเองน่ะ
ถ้าคิดกันว่าจะพึ่งพ่อแม่ ก็โอเคครับ ก็ขอให้ลูก ๆ หลาน ๆ มันคิดได้เหมือนกัน
แล้วไง แทนที่อายุ 60 กว่าแล้วจะได้พักผ่อน มีเงินจับจ่ายใช้สอยเพื่อความเป็นอยู่
ที่พอเพียงก็ต้องทำงานต่อ ก็ลูกคนเล็กมันยังตั้งท่าจะกู้ต่อนี่
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 18:02 , Isriya แถลง…
จริงๆ ตอบที่พี่จอยแซวเฉยๆ น่ะครับ แฮ่ๆ
เอาใจช่วยให้พี่เทพหา'วิธี'ที่เหมาะสมในการหาเลี้ยงชีพจากสิ่งที่เราเองสนใจละกันนะครับ
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 20:38 , Thep แถลง…
ผมก็หมายถึงอย่างที่พี่ของพี่จอยทำน่ะแหละครับ คือใช้ในกรณีที่พ่อแม่มีเงินออมอยู่ โดยที่ไม่ได้รีบร้อนที่จะใช้ การกู้ยืมเงินออมส่วนนั้นก็เหมือนการลงทุนอย่างหนึ่ง แทนที่จะเอาไปซื้อหุ้นหรืออะไรทำนองนี้ ต้องมองว่าเป็นการลงทุนเลยนะ ไม่ใช่ขอความช่วยเหลือ แล้วก็ชดใช้คืนพร้อมดอก เพื่อนผมคนนึงก็ทำอย่างนี้ มันเรียนแค่โทแล้วมาทำงานเพื่อจ่ายคืนพ่อแม่
ส่วนเรื่องพี่ได้น้องต้องได้ เรื่องนั้นพ่อแม่ผมค่อนข้างรอบคอบ คือจะคิดว่าจะอนุมัติอะไรให้ลูกแต่ละคน จะคิดคูณเผื่อไว้ให้ลูกทุกคน แล้วค่อยตอบว่าได้หรือไม่ได้ (ถ้าผมต้องขอยืมเงินก้อนใหญ่ๆ ก็คงลองคูณก่อนขอเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมา หลังจบตรียังไม่เคยขอ อย่างที่มาอยู่บ้านนี่ก็คุยก่อน ว่าขอแชร์ค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน)
ณ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 22:14 , Beamer User แถลง…
ผมไม่ได้ว่าเทพน่ะ ผมว่า bact' มัน
ณ 15 มิถุนายน 2547 เวลา 08:53 , Thep แถลง…
ง่า.. เข้าใจครับ อาจจะยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองมากไป คือตั้งใจจะเสนอว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้มันมีทางออกอย่างนั้นอย่างนี้ แต่บังเอิญเอาเรื่องของตัวเองมาประกอบเยอะไปหน่อย -_-!
แสดงความเห็น (มีการกลั่นกรองสำหรับ blog ที่เก่ากว่า 14 วัน)
<< กลับหน้าแรก