Theppitak's blog

My personal blog.

19 มิถุนายน 2547

อีกด้านของการกลับบ้าน

เหรียญย่อมมีสองด้าน หลังจากที่ได้บันทึกเกี่ยวกับแง่มุมด้านบวกของการกลับมาบ้าน ก็รู้สึกว่า ควรจะเขียนเกี่ยวกับอีกด้านให้ครบถ้วน

การกลับมาอยู่บ้าน นอกจากจะเป็นการทำตามความตั้งใจเดิม ก็ยังเป็นการกลับมาสู่สภาพแวดล้อมแบบเดิมอีกด้วย กล่าวคือ ก่อนเข้าไปเรียนกรุงเทพฯ ผู้ใหญ่เคยมองผมเป็นเด็กยังไง วันนี้ก็ยังคงมองอย่างนั้น การกลับมาอยู่บ้าน บางครั้งจึงเหมือนการกลับมาเริ่มต้นต่อสู้เพื่อเติบโตใหม่อีกครั้ง ในมุมมองของท่านเหล่านั้น

ที่เห็นได้ชัดที่สุดน่าจะเป็นแม่ เขาว่ากันว่า ไม่ว่าลูกจะโตเท่าไหร่ แม่ก็ยังเห็นลูกเป็นเด็กเสมอ เห็นจะจริง แม่จะคอยมาถามไถ่เรื่องการงาน มาคอยกำกับว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ และคอยทุกข์กังวลถ้าเห็นผมไม่ได้นั่งทำงาน แต่มานั่งอ่านหนังสือ ฯลฯ น้องๆ ของผม เคยพยายามกลับมาทำงานที่บ้านเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ทนอยู่ไม่ได้ ต้องกลับออกไป เพราะขาดความเป็นส่วนตัว ผมเองก็กำลังหาจุดประนีประนอมอยู่เหมือนกัน

ผมพยายามไม่พูดถึงงานในส่วน FOSS กับแม่ เพราะพื้นฐานของแม่เป็นนักธุรกิจเต็มตัว ไม่ยอมประนีประนอมกับการทำงานที่ขาดทุน แต่ผมจะพูดถึงแต่งานที่รับจ้างมาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องการประนีประนอมระหว่างแนวคิด FOSS กับธุรกิจนั้น ผมต้องค้นหาด้วยตัวเองเป็นการภายใน

ปัญหานี้ขยายไปถึงญาติๆ ด้วย เพราะเครือญาติของผมล้วนแต่เป็นนักการค้าโดยสายเลือด และยังคงมองผมเป็นเด็กตามที่แม่มอง เพราะแม่ไปเผาผมไว้เยอะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องงานที่ผมทำโดยไม่มีค่าจ้าง (ญาติบางคน พอได้ยินแค่คีย์เวิร์ดว่า “ลินุกซ์” จากแม่ ก็บอกแม่ทันทีว่าเป็นงานไม่มีรายได้ ซึ่งสำหรับพวกเขา ถือเป็นความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวง) ก็ตามประสาผู้ใหญ่นินทาเด็กน่ะ ซึ่งผมก็ไม่ถือสาหรอก ขอแต่ให้แยกออกจากกันเด็ดขาดกับงานได้เป็นใช้ได้ ดังนั้น งานรับจ้างที่ผมรับ จึงพยายามหลีกเลี่ยงการรับงานจากธุรกิจของเครือญาติ (แต่บางทีก็เลี่ยงไม่ได้)

ก็เป็นเหรียญอีกด้าน ที่คอยเร่งให้ผมต้องคิดหาทางออกให้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งก็หมายความว่า ต้องค้นหาจุดร่วมระหว่าง FOSS กับธุรกิจให้ได้โดยเร็ว หรือถ้ารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเร่งทำ FOSS ส่วนที่เหลือให้มากขึ้น กับเวลาที่เหลืออยู่น้อยเต็มที ก่อนจะต้องละทิ้งไปทำอย่างอื่น

อ่าน The Magic Cauldron ใกล้จบละ เดี๋ยวต้องใช้เวลาย่อยอีกหน่อย

15 ความเห็น:

  • 20 มิถุนายน 2547 เวลา 00:07 , Blogger NOI แถลง…

    เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างดี ราวกับว่าเรามีแม่คนเดียวกัน :) ...

    ทางออกของผมตอนนี้คือใช้ชีวิตอยู่ที่ร้านวันละเกือบยี่สิบชั่วโมง ใช้เวลาอยู่บ้านให้น้อยที่สุด และกำลังต้องการทำร้านให้เป็นสหกรณ์

    พวกผู้ใหญ่มักจะมีเหตุผลมากกว่าเราเสมอ ... ทั้งๆ ที่เราพบความสุขในชีวิตแล้ว เรารู้แล้วว่าเราต้องการอะไร แต่เหตุผลของเราก็มักจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เขายอมรับ .. นี่ขนาดว่าคุณเทพไม่ใช่ลูกคนเล็กนะเนี่ยะ .. ถ้าเป็นลูกคนเล็ก ยิ่งไม่มีทางโตในสายตาเขาเลยแหละ :) (ลองฟัง Father and son ดูสิครับ ผมชอบเพลงนี้มากเลย)

    เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเขาก็โดนแบบนี้แหละ แต่พอเขาแต่งงาน ที่บ้านก็ปล่อยเขามากขึ้น ยอมรับเขามากขึ้น เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ในสายตาของแม่เขาแล้วนั่นเอง .. หรือจะลองเอาวิธีของเพื่อนผมเป็นทางออกดีครับ ;)

     
  • 20 มิถุนายน 2547 เวลา 04:11 , Blogger the ancient แถลง…

    ชั้นบอกแม่ชั้นว่าชั้นจะไม่ทำอะไรอีกแล้วนอกจากซอฟท์แวร์เสรี
    วันๆก็พล่ามว่ามันดีอย่างโน้นอย่างนี้ แม่บอกชั้นว่าคนเรามันต้อง
    หาเลี้ยงชีพได้ ชั้นว่าชั้นก็อายชาวบ้านอยู่เหมือนกันที่ไม่ออกไปไหน
    แต่สุดท้ายชั้นก็บอกแม่ว่าถ้าแม่ไม่เลี้ยงชั้นก็คงต้องหอบโน๊ตบุ้คไป
    ขอข้าววัดกินและทำงานเพื่อแลกกับอาหาร สุดท้ายแม่ก็ไม่มีทางเลือก
    อกตัญญู? ชั้นว่าชั้นเปล่า. อย่างเลวร้ายที่สุดคงต้องหางานถูกๆทำ
    ในเยอรมัน. กร๊ากก

     
  • 20 มิถุนายน 2547 เวลา 10:57 , Blogger Thep แถลง…

    เหตุผลของผู้ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเท่ากับนินทากาเลน่ะครับ มันนำไปสู่อคติ แล้วก็ทำให้เป็นปัญหาเวลาติดต่อกันเรื่องงาน ยิ่งเขาเป็นผู้ใหญ่ยิ่ง ego สูง เราพูดอะไรก็ไม่ค่อยฟัง เลยคิดว่า เลี่ยงการติดต่อเรื่องงานกันได้เป็นดี เป็นญาติกันก็พอแล้ว ไม่ต้องเป็นคู่ธุรกิจ

    เรื่องการแต่งงานที่คุณหน่อยว่า (แหม เชียร์จังนะ พักนี้) มันไม่ช่วยเท่าไหร่หรอก ผมว่า มันอยู่ที่ตัวผู้ใหญ่เองมากกว่า อย่างน้องสาวผมแต่งงานไปแล้ว แม่ก็ไม่เห็นจะมองว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

    ตอบ id: ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ถ้าจะพูดให้แม่ผมเข้าใจได้ ก็ต้องเป็นแนวทางโอเพนซอร์สที่กลายเป็นธุรกิจแล้วเท่านั้น ไม่งั้นแกไม่เลิกพยายามเปลี่ยนความคิดผม อีกอย่าง ผมเองก็เห็นว่า ธุรกิจเท่านั้นที่จะทำให้คนทำ FOSS อยู่รอดอย่างเป็นรูปธรรม ..หรือจะให้พึ่งรัฐบาล?

     
  • 20 มิถุนายน 2547 เวลา 14:01 , Blogger the ancient แถลง…

    รอรัฐคงยาก. แต่ถ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำว่าถูกต้องแล้ว ก็น่าจะทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งที่
    ตัวเองเชื่อด้วยความจริงใจ มีศีล พยายามอบรมจิตตัวเองและคนที่บ้าน นอกเสียจากว่าจะไม่มั่นใจว่ามันถูกต้อง
    จริงๆ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

     
  • 20 มิถุนายน 2547 เวลา 22:20 , Blogger NOI แถลง…

    ผมอยากทำธุรกิจเพื่อเข้าไปช่วยโอบอุ้มชาวโอเพ่นซอร์สนะครับ แต่ตอนนี้ก็ยังโอบอุ้มตัวเองไม่ค่อยจะรอด .. (เชียร์คุณเทพแต่งงาน เพราะอยากหาข้ออ้างปิดร้านไปเที่ยวขอนแก่นหน่ะครับ แบบว่าไปร่วมงานแต่งงานคุณเทพไง แต่จุดประสงค์แท้จริงคือหนีเที่ยวนั่นแหละ แหะๆ)

     
  • 21 มิถุนายน 2547 เวลา 12:57 , Blogger veer แถลง…

    ผมเคยถามเพื่อนว่าจอมยุทธเขาเอาอะไรกิน เพื่อนบอกว่าเปิดบริษัทรปภ. บ้างเป็นวัดรวมถึงนักบวชของเต๋าด้วย ปลูกผักกินเอง เป็นมือปราบ (มีอาชีพอื่นอีกเปล่า?)

    ผมเป็น hobbist เต็มตัว ผมมองว่าทำ FOSS เป็นกิจกรรมบังเทิงเหมือนดูละครหลังข่าวหรือแตะบอลแถวบ้าน คนส่วนมากน่าจะรับและเข้าใจกิจกรรมบันเทิงได้ง่ายๆ? ( ถ้ากิจกรรมบันเทิงมันสร้างรายได้ได้ก็ดี ถือเป็นของแถม )

     
  • 21 มิถุนายน 2547 เวลา 15:06 , Blogger Beamer User แถลง…

    ฉันบอกแม่ว่าฉันจะทุ่มเทชีวิตให้กับ free software แม่บอกว่าเออไปล้างจานไป

     
  • 22 มิถุนายน 2547 เวลา 19:18 , Anonymous ไม่ระบุชื่อ แถลง…

    อานนท์ said ...

    ทำไมมันเหมือนกันหมดทุกบ้านเลยหวะ.
    เราก็คิดมาตลอดว่าการที่ทนแม่บ่นไม่ได้เนี่ย, มันเป็นการอกตัญญูจริงๆเลย.
    แล้วเราก็ต้องเป็นทุกข์กับความอกตัญญูของตัวเองต่อไป :(

    ปล. ถ้ามาโพสต์ comment ช้าเนี่ย, กลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้อ่าน comment ของเราแล้วอะ.
    อยากให้มัน pop ขึ้นไปอยู่ข้างบนจัง, อันที่มีการ update ล่าสุดหนะ, คนอื่นจะได้เห็นและมา share กับเราต่อ.

    ปล2. ในที่สุดตูก็ทนไม่ได้, ต้องมาโพสต์จนได้ :b

    ปล3. ห้องนี้รวมลูกอกตัญญู :b

    ปล4. เฉพาะผู้ชายมั้งที่แต่งงานแล้วดูเป็นผู้ใหญ่, เพราะผู้หญิงก็มักจะถูกวางตำแหน่งให้เป็นฝ่ายถูกเลี้ยงอยู่ดี.

     
  • 23 มิถุนายน 2547 เวลา 18:47 , Blogger NOI แถลง…

    แอ๊ะ .. ผมเปล่าเป็นลูกอกตัญญูซะหน่อย ผมแค่อยู่ที่ร้านมากกว่าที่บ้านเองอะครับ

    ป.ล. มาตอบคุณอานนท์แล้วนะครับ

    ป.ล. (๒) ผมตาฝาดหรือเปล่าว่าคุณอานนท์พิมพ์ไม่เว้นคำอะ??

     
  • 23 มิถุนายน 2547 เวลา 18:56 , Blogger Beamer User แถลง…

    เออ ตัวจริงหรือเปล่า พึ่งสังเกตุเหมือนกัน id ก็ไม่เว้นน่ะ สงสัยเป็นที่ blog

    ทด สอบ ว่า ทำ ได้ หรือ เปล่า จริง ๆ แล้ว พิมพ์ แบบ เว้น คำ เนี่ย มัน ง่าย
    ได้ ฝึก สมอง ไป ด้วย น่ะ เนี่ย

     
  • 24 มิถุนายน 2547 เวลา 09:34 , Blogger Thep แถลง…

    เดิมผมรับ anon. comment แต่เมื่อเข้า planet แล้ว ยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรกับความเป็นส่วนตัวบ้างไหม (โดยเฉพาะกับ blog เก่าที่โพสต์ไว้ก่อนที่จะมีแนวคิด planet ซึ่งบางเรื่องอาจมีความเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง) ก็เลยปิดรับ anon. ไปก่อน แต่ในเมื่อคุณอานนท์ได้มาแสดงความเห็นแล้ว เพื่อให้ใช้ที่ตรงนี้สนทนาให้จบ ไม่ต้องไปที่อื่น จึงเปิดรับ anon. comment อีก

    อย่างเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่การบ่นอะไร ไม่ใช่ว่าเราทนแม่ไม่ไหวแล้วมาบ่น แต่เป็นการบันทึกความคิดเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องแก้ เพราะการทำงานส่วนตัวที่บ้าน ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีปัจจัยเรื่องครอบครัวมาเกี่ยว เรามีเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง แต่ถ้ามันทำให้เราต้องมีปัญหากับครอบครัว มันก็ย่อมเป็นความสำเร็จที่ไร้ค่า ขณะเดียวกัน ถ้าปล่อยให้ครอบครัวมามีอิทธิพลเหนืองานมากเกินไป ก็ทำให้ไปไม่ถึงเป้าเหมือนกัน จำเรื่องลูกบอลสามลูกของคุณหน่อยได้ไหมล่ะครับ นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ผมพยายามทำ เราต้องมีความรับผิดชอบพอที่จะแบกภาระบางอย่างไว้กับตัวเอง ในเมื่อเรามีแนวคิดของเราอย่างนี้

     
  • 24 มิถุนายน 2547 เวลา 09:52 , Blogger Thep แถลง…

    ตอบ id: ผมพอเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดนะ ก็อย่างที่ผมเคยบอก ว่าถ้าใครพยายามจะแยก free software กับ open source ออกจากกัน ผมคงอยู่ฝั่ง open source เพราะมันอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่า (แต่ผมไม่แยกฝั่ง เพราะผมเห็นมันเป็นหยิน-หยางในตัวเอง ตาคุณมองฟ้า แต่ตีนคุณอยู่บนดิน) ดังนั้น ความคิดเรื่องการทำธุรกิจ จึงเป็นความเห็นของผมเอง ไม่ใช่เพราะได้รับอิทธิพลจากแม่ อย่างที่เคยได้ยินผมพูดเรื่องธุรกิจหลายครั้งแล้ว ดังนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องไปเทศนาท่านอย่างที่คุณบอก สิ่งที่ผู้ใหญ่จะมีอิทธิพลกับผม ก็คือการเร่งให้ผมทำให้เร็วขึ้นเท่านั้น

    ส่วนที่ผมบอกว่าพูดอะไรกับแม่ได้หรือไม่ได้บ้าง มันก็เป็นการคำนึงถึงความเหมาะสม ใครไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็ไม่ยัดเยียดอะไรให้เขา แต่ผมก็ต้องมีสันติวิธีที่จะไม่ให้เขามาก้าวก่ายผม flame war นั้น สงวนไว้นอกบ้านก็พอ

     
  • 24 มิถุนายน 2547 เวลา 12:30 , Anonymous ไม่ระบุชื่อ แถลง…

    อานนท์ Said ...

    แต่ ผม ไม่ได้ ว่า คุณเทพ ทน คุณแม่ ไม่ได้ นะ ครับ.
    ผม อาจ จะ หมายถึง น้อง ๆ คุณเทพ.

    > น้องๆ ของผม เคยพยายามกลับมาทำงานที่บ้านเหมือนกัน
    > แต่สุดท้ายก็ทนอยู่ไม่ได้ ต้องกลับออกไป

    เรื่อง อกตัญญู นั่น ผม พูดเล่น นะ ครับ.
    ผม ไม่กล้า ฟันธง ลง ไป หรอก.
    อย่าง บางคน (เช่น คุณ id, คุณ Noi) ก็ บอก ว่า ไม่ได้ อกตัญญู ซักหน่อย.

     
  • 24 มิถุนายน 2547 เวลา 20:59 , Blogger Beamer User แถลง…

    "อย่างเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่การบ่นอะไร ไม่ใช่ว่าเราทนแม่ไม่ไหวแล้วมาบ่น แต่เป็นการบันทึกความคิดเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องแก้"

    นี่แหละประโยชน์ของ blog มันดีกว่า diary ที่เป็นสมุดแน่นอน
    มีลูกเล่นเยอะกว่า และก็ไม่ต้องเก็บ หายยาก วันหลังก็กลับมาอ่านได้

     
  • 25 มิถุนายน 2547 เวลา 12:53 , Anonymous ไม่ระบุชื่อ แถลง…

    อานนท์ Said ...

    ถ้าเกิดญาติๆมาอ่านเจอหละ?

     

แสดงความเห็น (มีการกลั่นกรองสำหรับ blog ที่เก่ากว่า 14 วัน)

<< กลับหน้าแรก

hacker emblem