From C++ to Python (2)
ใน blog ที่แล้ว ผมได้พูดถึงประเด็นต่าง ๆ ที่ผมสะดุดเมื่อเรียนภาษาไพธอนด้วยพื้นฐานความรู้ C/C++ ที่มี ซึ่งเป็นการปรับโหมดคิดพื้นฐานให้เพียงพอสำหรับใช้เขียนไพธอนได้ ใน blog นี้จะขอเขียนส่วนที่เป็น กำไร
ที่ได้จากภาษาไพธอนบ้าง
Container สำเร็จรูป
ภาษาไพธอนมาตรฐานมาพร้อมกับ container สำเร็จรูป คือ list, dictionary และ set โดยสามารถเก็บข้อมูลหลายชนิดปนกันได้ตามธรรมชาติของภาษา dynamic type (heterogeneous list ที่ต้องอาศัย polymorphism หรือ generic programming ใน C++ กลายเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาเมื่อมาเขียนไพธอน) การมี container สำเร็จรูปทำให้เขียนโปรแกรมได้สะดวกขึ้นมาก
list (และ tuple ที่เป็น immutable list) นั้น มีแนวคิดเหมือนลิสต์ของภาษา Lisp ที่สามารถบรรจุข้อมูลหลากชนิดคละกันได้ รวมทั้งเก็บลิสต์ในลิสต์ กลายเป็น tree ก็ยังได้ (ยังมีอิทธิพลของภาษา Lisp ในไพธอนอีกอย่าง คือ lambda expression) แต่ implement ด้วย dynamic array เพื่อรองรับ syntax ในการเข้าถึงสมาชิกในแบบแอร์เรย์อย่างมีประสิทธิภาพ แลกกับ cost ในการเพิ่ม/ลบสมาชิกเล็กน้อย list ของไพธอนจึงทำให้สามารถทำงานกับ collection ของข้อมูลได้สะดวกโดยไม่ต้องคิดเรื่องวิธีจองหน่วยความจำ
dictionary ทำให้การใช้งาน associative array ที่พบบ่อยในโปรแกรมต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องง่าย (กลไกภายในคือ hash table) แม้แต่ตัว interpreter ของไพธอนเองก็ยังใช้ dictionary เป็นกลไกในการทำงานหลายส่วน เช่น ใช้ในการเก็บ attribute และ method ของออบเจกต์ต่าง ๆ แบบ dynamic, การทำ symbol table
ของโปรแกรม ฯลฯ
set เป็นการ implement แนวคิดของ ทฤษฎีเซ็ต ในทางคณิตศาสตร์นั่นเอง การใช้เซ็ตในโปรแกรมได้ ทำให้สามารถเขียนโปรแกรมได้ใกล้เคียงกับนิพจน์คณิตศาสตร์มากขึ้น
การมีเครื่องมือแบบนี้ พร้อม syntax ที่เรียบง่ายในการเข้าถึงในระดับตัวภาษาเอง ทำให้เขียนโปรแกรมได้สั้นกระชับ
else ในที่ต่าง ๆ
นอกจาก else ใน if แล้ว ไพธอนยังมี else ในลูป while, for, และใน exception handling ด้วย ซึ่งคนที่เขียนโปรแกรม C/C++ มาเยอะหน่อยอาจเคยพบกรณีที่ else เหล่านี้ช่วยลดขั้นตอนลงได้
สมมุติว่ามีการค้นหาสมาชิกในลิสต์ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่กำหนด
for (const Elm* p = students.first(); p; p = p->next()) { log_visited (p); if (p->id() == id) { report_matched (p); break; } mark_unmatched (p); } if (!p) { // search exhausted report_no_match(); }
เราไม่จำเป็นต้องเช็กค่า p
อีกครั้งหลังจบลูปถ้าเราใช้ else หลัง for แบบนี้ในไพธอน:
for s in students: log_visited (s) if (s.id == id): report_matched (s) break mark_unmatched (s) else: # search exhausted report_no_match()
หรือจะเป็นโปรแกรมให้ผู้ใช้ทายตัวเลข โดยให้ผู้ใช้หยุดทายได้ด้วยการป้อนค่า 0 หรือเลขลบ:
guess = 0; while (guess != secret) { std::cout << "Guess the number: "; std::cin >> guess; if (guess <= 0) { std::cout << "Sorry that you're giving up!" << std::endl; break; } if (guess > secret) std::cout << "The number is too large." << std::endl; else if (guess < secret) std::cout << "The number is too small." << std::endl; } if (guess == secret) std::cout << "Congratulations. You made it!" << std::endl;
ด้วย else ในไพธอน คุณก็ไม่ต้องเช็กค่า guess
ซ้ำหลังจบลูป:
guess = 0 while guess != secret: guess = int (input ("Guess the number: ")) if guess <= 0: print ("Sorry that you're giving up!") break if guess > secret: print ("The number is too large.") elif guess < secret: print ("The number is too small.") else: print ("Congratulations. You made it!")
โค้ดแบบนี้ผมเจอค่อนข้างบ่อยใน C/C++ บางทีคิด ๆ เหมือนกันว่าถ้าใช้ goto
แทน break
ซะก็อาจไม่ต้องมาเช็กซ้ำ พอมาเจอ else ของลูปในไพธอนก็เข้าใจได้ทันที
List Comprehension
list comprehension เป็นสิ่งที่ pythonic เอามาก ๆ ทำให้โค้ดกระชับและดูคล้ายนิพจน์คณิตศาสตร์
เช่น ถ้าต้องการหารายการข้อมูลในลิสต์ data
ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย:
avg = sum(data)/len(data) print([x for x in data if x > avg])
หรือแม้กระทั่งจะหาจำนวนเฉพาะทั้งหมดที่น้อยกว่าจำนวนที่กำหนด:
from math import sqrt def primes(n): sqrt_n = int(sqrt(n)) no_primes = {j for i in range(2, sqrt_n) for j in range(i*2, n, i)} return [i for i in range(2, n) if i not in no_primes]
พี่จะสั้นไปไหนครับ!
ในบทที่ว่าด้วย Lambda operator, map, filter, reduce บอกไว้ที่ส่วนต้นว่า Guido van Rossum ผู้สร้างและดูแลภาษาไพธอนได้แสดงความประสงค์ที่จะ ตัด lambda, map, filter, reduce ออกใน Python 3 เพราะ list comprehension ทำสิ่งเดียวกันได้ชัดเจนและเข้าใจง่ายกว่า แต่สุดท้ายก็ทนแรงต้านจากผู้นิยม Lisp, Scheme ไม่ไหว จำเป็นต้องคงไว้ ตัดออกเฉพาะ reduce()
โดยย้ายไปไว้ในมอดูล functools
เทียบกันแล้ว list comprehension ถอดแบบมาจาก set-builder notation ในทฤษฎีเซ็ต ส่วน lambda นั้น ถอดแบบมาจาก lambda calculus เห็นได้ชัดว่าทฤษฎีเซ็ตเป็นที่คุ้นเคยและเข้าใจง่ายกว่า สิ่งที่ lambda ทำได้มากกว่า list comprehension ก็คือ reduce()
ซึ่งในความเห็นของผู้สร้างไพธอนแล้ว ทำให้โค้ดซับซ้อนเกินไป ยอมเขียนเป็นลูปเพื่อความชัดเจนเสียจะดีกว่า
ไหนลองเขียนด้วย lambda ดูซิ:
หาข้อมูลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย:
avg = sum(data)/len(data) print(list(filter(lambda x : x > avg, data)))
หาจำนวนเฉพาะ:
from math import sqrt from functools import reduce def primes(n): sqrt_n = int(sqrt(n)) np_series = list(map(lambda i : set(range(i*2, n, i)), list(range(2,sqrt_n)))) np_set = reduce(lambda a, b : a | b, np_series) return list(filter(lambda i : i not in np_set, list(range(2,n))))
จะเห็นว่า lambda ยาวและเข้าใจยากกว่า list comprehension
Generator
ลูป for ในไพธอนจะไม่มีรูปแบบการใช้ตัวนับเหมือนภาษาทั่วไป แต่จะใช้ iterator ล้วน ๆ คือเป็นลูป foreach นั่นเอง
เช่น ลูปหาผลรวมของกำลังสองของจำนวนเต็มบวก n ตัวแรกที่เขียนในภาษา C++ อาจเป็นแบบนี้:
int sum_sq (int n) { int sum = 0; for (int i = 1; i <= n; i++) sum += i*i; return sum; }
แต่ลูป for ในไพธอนจะใช้ฟังก์ชัน range()
สร้าง iterator สำหรับไล่เรียง:
def sum_sq (n): sum = 0 for i in range (1, n+1): sum += i*i return sum
หรือจะให้ pythonic จริง ๆ ก็ใช้ list comprehension:
def sum_sq (n): return sum([i*i for i in range (1, n+1)])
iterable object ต่าง ๆ เช่น list, tuple, dictionary, set สามารถใช้เป็น iterator ได้ทันที นอกจากนี้ ยังสามารถสร้าง iterator ขึ้นเองได้ โดยทำตามโพรโทคอลที่กำหนด (สร้างคลาสที่มีเมธอด __iter__()
, next()
โดย next()
คืนค่าตัววิ่งแต่ละขั้น และ raise StopIteration
exception เมื่อวิ่งสุดแล้ว) แต่เพื่ออำนวยความสะดวกยิ่งขึ้น ไพธอนได้บัญญัติสิ่งที่เรียกว่า generator ที่ใช้วิ่งลูปได้เหมือน iterator แต่เขียนง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่น ถ้าจะเขียน generator สำหรับไล่ลำดับ Fibonacci:
def fibo (n): a, b = 0, 1 for i in range(n): yield a a, b = b, a + b
(yield
ทำหน้าที่คล้าย return
สำหรับแต่ละรอบ และรอบต่อไปก็จะเริ่มทำงานต่อจากบรรทัดที่ yield
ไว้)
จากนั้นก็สามารถไล่ลำดับ Fibonacci ได้ตามต้องการ:
>>> list(fibo(10)) [0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34] >>> for x in fibo(5): ... print (x) ... 0 1 1 2 3 >>> [x for x in fibo(10) if x % 2 == 0] [0, 2, 8, 34]
การมี construct แบบ generator ก็ทำให้มีความยืดหยุ่นของการเขียน iterator เช่น สามารถเขียน generator แบบ recursive ได้ หรือกระทั่งเขียน generator ซ้อน generator ได้ อ่านเพิ่มเติม
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงตอนแรกที่เราพบว่าไพธอนมีแต่ลูป foreach เท่านั้น ก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถด้อยไปกว่าภาษาที่มีลูปตัวนับแต่อย่างใด (ในเมื่อมีฟังก์ชัน range()
) แต่กลับมีความยืดหยุ่นสูงมากในการวนลูปที่ซับซ้อน
Decorator
ข้อนี้ไม่แน่ใจนักว่าชอบหรือเปล่า แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าจะมีประโยชน์ในบางโอกาส คือสิ่งที่ไพธอนเรียกว่า decorator ซึ่งหลังจากที่ทำความเข้าใจแล้ว อยากจะเรียกว่า wrapper มากกว่า
สมมุติว่าเราต้องการนับจำนวนการเรียกฟังก์ชันต่าง ๆ ในโปรแกรมของเรา เราสามารถเขียน wrapper function มาดักการเรียกของผู้ใช้แล้วแอบเพิ่มตัวนับก่อนเรียกฟังก์ชันตัวจริง และไพธอนมีวิธีการสร้าง wrapper ที่ว่านี้อย่างแนบเนียน
def call_counter (func): def wrapper (*args, **kwargs): wrapper.calls += 1 return func (*args, **kwargs) wrapper.calls = 0 wrapper.__name__ = func.__name__ return wrapper @call_counter def square (x): return x*x print (square.calls) for i in range (10): print (square (i)) print (square.calls)
บรรทัด @call_counter
คือ syntax ของไพธอนในการ decorate ฟังก์ชัน โดยโค้ดนี้:
@call_counter def square (x): return x*x
มีความหมายเทียบเท่ากับ:
def square (x): return x*x square = call_counter (square)
กล่าวคือ เป็นการส่งออบเจกต์ของฟังก์ชัน square()
ให้กับฟังก์ชัน call_counter()
แล้ว call_counter()
คืนค่า wrapper()
ซึ่งเป็นฟังก์ชันภายในมา จากนั้น ก็ใช้ค่าที่คืนมานี้ assign ค่าทับลงไปใน symbol square()
เสีย ทำให้การเรียก square()
หลังจากนี้ไปจะเป็นการเรียกตัวฟังก์ชัน wrapper()
ที่ได้แอบเพิ่มตัวนับก่อนเรียกฟังก์ชัน square()
ตัวจริงที่ได้ส่งมาก่อนหน้านี้ในพารามิเตอร์ชื่อ func
(คำอธิบายค่อนข้างซับซ้อนวนเวียนสักหน่อย หากงงก็ขอแนะนำให้อ่านรายละเอียดจาก บทเรียน นอกจากนี้ยังมี blog ที่ artima และ blog ของ Simeon Franklin ที่ให้คำอธิบายอย่างละเอียด)
อีกวิธีหนึ่งคือเขียน wrapper เป็นคลาสที่ callable ซึ่งดูสะอาดกว่า:
class call_counter: def __init__ (self, func): self.func = func self.calls = 0 def __call__ (self, *args, **kwargs): self.calls += 1 return self.func (*args, **kwargs)
ประโยชน์ที่พอมองเห็นได้คือ ไพธอนมีวิธีสร้าง wrapper ที่แนบเนียน wrapper มีประโยชน์ที่ไหนก็ใช้ได้ที่นั่น (เช่น การ cache ผลการคำนวณครั้งก่อน ๆ ของฟังก์ชัน, การเพิ่มการตรวจสอบอาร์กิวเมนต์ ฯลฯ)
Library
นอกจากตัวภาษาเองแล้ว ไพธอนยังมาพร้อมกับไลบรารีมาตรฐานอีกเพียบ ซึ่งผมคงต้องศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ เท่าที่ได้ผ่านมาก็คือเรื่องการใช้ regular expression
ดูยังมีอะไรอีกเยอะให้ศึกษาข้างหน้า ที่สำคัญคือการฝึกฝนให้เกิด pythonic way
ในการเขียนโค้ด และการใช้แพกเกจต่าง ๆ ให้เหมาะกับงาน
Update (2016-05-04): แก้เนื้อหาเรื่อง implementation ของ list หลังจากที่คุณวีร์ทักท้วงมาใน facebook ว่า list ของไพธอน implement ด้วย array ไม่ใช่ linked list เหมือนใน Lisp
ป้ายกำกับ: c++, programming, python
0 ความเห็น:
แสดงความเห็น (มีการกลั่นกรองสำหรับ blog ที่เก่ากว่า 14 วัน)
<< กลับหน้าแรก